คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1416/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 218 ข้อ 32วรรคสองว่า”กรมมีอธิบดีเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาข้าราชการ รับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของกรม ฯลฯ” ดังนั้นการที่จะถือว่ากรมตำรวจโจทก์ได้รู้ถึงเรื่องการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่ออธิบดีกรมตำรวจโจทก์หรือผู้ทำการแทนรู้เรื่องการละเมิด และรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน จะถือว่าเมื่อประธานกรรมการสอบสวนรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนต้องถือว่าโจทก์รู้ด้วยหาได้ไม่ เพราะตามระเบียบราชการนั้นเจ้าหน้าที่ชั้นสูงจะต้องพิจารณาก่อนว่าเรื่องราวและความเห็นของเจ้าหน้าที่ที่เสนอไปนั้นถูกต้องหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 โดยประมาทเป็นเหตุให้ชนกับรถของทางราชการตำรวจเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายและดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า เหตุเกิดเพราะความประมาทของคนขับรถยนต์ของโจทก์ ค่าเสียหายของโจทก์ไม่ถึงเท่าที่ฟ้อง โจทก์รู้ตัวผู้กระทำผิดและผู้ที่จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่า 1 ปีแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยประมาท คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายและดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ขาดอายุความเพราะนับเวลาที่ผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต 4 รายงานให้กรมตำรวจทราบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยระบุจำเลยทั้งสองเป็นผู้ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกิน 1 ปีแล้ว ส่วนคดีของจำเลยที่ 1 ไม่ขาดอายุความเพราะคดีอาญาซึ่งจำเลยที่ 1 ถูกฟ้องและถูกพิพากษาลงโทษยังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เป็นเหตุให้อายุความซึ่งโจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 1 ในทางแพ่งสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสองพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาว่า คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ไม่ขาดอายุความ

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างได้ขับรถยนต์บรรทุกในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 โดยประมาทชนรถยนต์ของโจทก์ซึ่งใช้ในราชการตำรวจตระเวนชายแดน ปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ขาดอายุความหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 บัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้น ท่านว่าขาดอายุความเมื่อนับปีหนึ่ง นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ฯลฯ” ตามมาตรา 75 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติว่า “อันความประสงค์ของนิติบุคคลนั้นย่อมแสดงปรากฏจากผู้แทนทั้งหลายของนิติบุคคลนั้น” และตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 218 ข้อ 32 วรรคสอง ว่า “กรมมีอธิบดีเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาข้าราชการรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของกรม ฯลฯ” ดังนั้น การที่จะถือว่ากรมตำรวจโจทก์ได้รู้ถึงเรื่องการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ก็ต่อเมื่ออธิบดีกรมตำรวจโจทก์ หรือผู้ทำการแทนรู้เรื่องการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน จะถือว่าประธานกรรมการสอบสวนรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนต้องถือว่าโจทก์รู้ด้วยหาได้ไม่ เพราะตามระเบียบราชการนั้นเจ้าหน้าที่ชั้นสูงจะต้องพิจารณาก่อนว่าเรื่องราวและความเห็นของเจ้าหน้าที่ที่เสนอไปนั้นถูกต้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันที่ได้รับหนังสือจากผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต 4 ยังไม่เกิน 1 ปี คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2ไม่ขาดอายุความ

พิพากษาแก้ให้บังคับคดีสำหรับจำเลยที่ 2 ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share