คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 773/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่จะเรียกเงินค่าหุ้นซึ่งยังจะต้องส่งอีกในแต่ละคราวนั้นเป็นดุลพินิจของกรรมการที่จะเรียกจากผู้ถือหุ้นเมื่อใด เป็นจำนวนเท่าใด ก็ได้ตราบเท่าที่บริษัทยังคงดำรงอยู่ หาใช่ว่าจะต้องเรียกภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันจดทะเบียนตั้งกรรมการบริษัทไม่แม้เมื่อเลิกบริษัท ผู้ชำระบัญชีจะเรียกให้ผู้ถือหุ้นส่งใช้เงินลงหุ้นอันเป็นส่วนที่ยังค้างชำระอยู่นั้นก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1265 ดังนั้นสิทธิเรียกร้องของบริษัทจำเลยในการเรียกเงินค่าหุ้นซึ่งยังจะต้องส่งอีก จึงเกิดขึ้นในแต่ละคราวที่กรรมการส่งคำบอกกล่าวเรียกเงินค่าหุ้นนั้น และเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์บริษัทจำเลยเด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 และ 119เรียกให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยชำระเงินค่าหุ้นซึ่งยังจะต้องส่งอีกทั้งหมดได้

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องชำระหนี้ค่าหุ้นที่ค้างชำระอยู่กับบริษัทจำเลย ผู้ร้องปฏิเสธหนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วมีหนังสือยืนยันหนี้ ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องต่อศาลว่า ผู้ร้องได้ชำระหนี้ค่าหุ้นให้แก่บริษัทจำเลยจนครบถ้วนแล้ว แม้ผู้ร้องจะเป็นหนี้บริษัทจำเลย คดีก็ขาดอายุความ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คัดค้านว่า จากการตรวจสอบหลักฐานการจดทะเบียนซึ่งบริษัทจำเลยส่งต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทปรากฏว่าผู้ร้องยังคงค้างชำระค่าหุ้น อายุความในการทวงหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีกำหนด 10 ปีนับแต่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์บริษัทจำเลยเด็ดขาด คดียังไม่ขาดอายุความ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า อายุความเรียกเงินค่าหุ้นส่วนที่เหลือมีกำหนด 10 ปีนับแต่วันจดทะเบียนตั้งกรรมการบริษัทเป็นต้นไป สิทธิเรียกร้องของบริษัทจำเลยขาดอายุความแล้ว มีคำสั่งเพิกถอนการยืนยันหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ให้จำหน่ายชื่อผู้ร้องจากบัญชีลูกหนี้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าคดีเองทั้งสองศาลจึงไม่กำหนดค่าทนายความให้ ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องยังค้างชำระค่าหุ้นอีก112,500 บาท แล้ววินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า “ปัญหาสุดท้ายมีว่าสิทธิเรียกร้องให้ผู้ร้องชำระเงินค่าหุ้นซึ่งยังจะต้องส่งให้แก่บริษัทจำเลยอีกนั้นขาดอายุความแล้วหรือไม่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1120 บัญญัติว่า “บรรดาเงินค่าหุ้นซึ่งยังจะต้องส่งอีกนั้น กรรมการจะเรียกให้ผู้ถือหุ้นส่งใช้เสียเมื่อใดก็ได้…” และมาตรา 1121 บัญญัติว่า “การเรียกเงินค่าหุ้นแต่ละคราวนั้น ท่านบังคับว่าให้ส่งคำบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ต่ำกว่ายี่สิบเอ็ดวันด้วยจดหมายส่งลงทะเบียนไปรษณีย์ และผู้ถือหุ้นทุกคนจะต้องใช้เงินตามจำนวนที่เรียกนั้น สุดแต่กรรมการจะได้กำหนดไปว่าให้ส่งไปยังผู้ใด ณ ที่ใดและเวลาใด” เมื่อพิจารณาบทบัญญัติทั้งสองมาตรานี้เข้าด้วยกันแล้ว จะเห็นได้ว่าการที่จะเรียกเงินค่าหุ้นซึ่งยังจะต้องส่งอีกในแต่ละคราวนั้น เป็นดุลพินิจของกรรมการที่จะเรียกจากผู้ถือหุ้นเมื่อใด เป็นจำนวนเท่าใดก็ได้ตราบเท่าที่บริษัทยังคงดำรงอยู่ หาใช่ว่าจะต้องเรียกภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันจดทะเบียนตั้งกรรมการบริษัทดังที่จำเลยกล่าวอ้างมาในฎีกาไม่ ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อเลิกบริษัทผู้ชำระบัญชีจะเรียกให้ผู้ถือหุ้นส่งใช้เงินลงหุ้นอันเป็นส่วนที่ยังค้างชำระอยู่นั้นก็ได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1265 ฉะนั้น สิทธิเรียกร้องของบริษัทจำเลยในการเรียกเงินค่าหุ้น ซึ่งยังจะต้องส่งอีกจึงเกิดขึ้นในแต่ละคราวที่กรรมการส่งคำบอกกล่าวเรียกเงินค่าหุ้นนั้น คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ากรรมการบริษัทจำเลยไม่เคยส่งคำบอกกล่าวเรียกเงินค่าหุ้นซึ่งยังจะต้องส่งอีกไปยังผู้ถือหุ้น ดังนั้น เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์บริษัทจำเลยเด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 และมาตรา 119 เรียกให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยชำระเงินค่าหุ้นซึ่งยังจะต้องส่งอีกทั้งหมดได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share