คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2051/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วน ผู้จัดการตามหนังสือรับรองและสำเนาทะเบียนบ้านระบุว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 35 หมู่ 7 แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร โดยจำเลยที่ 1ยังไม่ได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงที่ตั้งสำนักงานใหญ่และจำเลยที่ 3 ก็ยังไม่ได้แจ้งย้ายไปอยู่ที่อื่น ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนา ณ ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ตามที่จดทะเบียนไว้และจำเลยที่ 3 มีภูมิลำเนาตามที่ระบุไว้ในสำเนาทะเบียนบ้านการที่โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยที่ 1และที่ 3 ณ บ้านเลขที่ดังกล่าวโดยวิธีปิดหมายตามคำสั่งศาลเป็นการส่งโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว สำหรับจำเลยที่ 2 ครั้งแรกโจทก์ส่งหมายเรียกและสำเนา คำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 2 ที่บ้านเลขที่ 100/20 หมู่ที่ 8ตำบลอ้อมใหญ่ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม แต่ส่งให้ไม่ได้เพราะจำเลยที่ 2 ได้ขายไปแล้ว โจทก์ตรวจสอบแล้วปรากฏว่าจำเลยที่ 2 แจ้งย้ายออกไปอยู่บ้านเลขที่ 30/5 ตำบลสะเต็งอำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา แต่เมื่อโจทก์ไปขอคัดสำเนาทะเบียนบ้าน ปรากฏว่าไม่มีบ้านเลขที่ดังกล่าว ในการไต่สวนจำเลยที่ 2 อ้างสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งระบุว่า จำเลยที่ 2 ย้ายจากบ้านเลขที่ 100/20 แต่เจ้าหน้าที่ทะเบียน ก็มาเบิกความว่าไม่มีบ้านเลขที่ตามเอกสารหมาย ล.1 นั้น ในทะเบียนราษฎร ถือว่าจำเลยที่ 2 ไม่ปรากฏภูมิลำเนา เป็นกรณีที่การส่งคำคู่ความหรือเอกสารไม่สามารถกระทำได้โดย วิธีธรรมดา การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ประกาศโฆษณาทาง หนังสือพิมพ์แทนการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยวิธีธรรมดา จึงเป็นการส่งโดยชอบด้วยกฎหมาย วันนัดพิจารณานัดแรกโจทก์ขอเลื่อนคดี ศาลอนุญาตพร้อมมีคำสั่งให้ประกาศแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 2 ทราบที่หน้าศาลและออกหมายนัดแจ้งจำเลยที่ 1 ที่ 3 ทราบโดยวิธีปิดหมาย เมื่อถึงวันนัดจำเลยทั้งสามไม่มาศาล จึงถือว่าจำเลยทั้งสามขาดนัดพิจารณา

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสามเป็นบุคคลล้มละลาย จำเลยทั้งสามไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสามขาดนัดพิจารณาและให้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีของโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดจำเลยทั้งสามจึงยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้พิจารณาคดีใหม่ความว่าภูมิลำเนาตามที่ระบุไว้ในคำฟ้องของโจทก์มิใช่ภูมิสำเนาของจำเลยทั้งสาม แต่เป็นบ้านร้างมาหลายปีแล้วจำเลยทั้งสามได้ย้ายสถานที่ประกอบกิจการไปอยู่บ้านเลขที่ 100/36 หมู่ 8 ตำบลอ้อมใหญ่ อำเภอสามพรานจังหวัดนครปฐม และสถานที่ประกอบกิจการแห่งใหม่นี้โจทก์ก็ทราบดีเคยไปติดต่อกับจำเลยหลายครั้ง ทั้งหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องไม่อาจกำหนดจำนวนได้แน่นอน และขาดอายุความแล้วจำเลยที่ 2 ที่ 3 มีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 10 ล้านบาทมีกิจการตลาดสด ไม่ใช่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวขอให้ศาลพิจารณาคดีนี้ใหม่
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยทั้งสามมีภูมิลำเนาตามที่โจทก์ระบุในคำฟ้องและมิได้เป็นบ้านร้าง จำเลยทั้งสามได้รับสำเนาคำฟ้องและหนังสือทวงถามโดยชอบแล้ว
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่า จำเลยทั้งสามไม่จงใจขาดนัดพิจารณา จึงอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่าการส่งหมายเรียกสำเนาคำฟ้องและการแจ้งวันนัดพิจารณาให้แก่จำเลยทั้งสามได้กระทำโดยชอบแล้วหรือไม่ ตามหนังสือรับรองและสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.1 และ ล.18 ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 35 หมู่ที่ 7 แขวงหนองค้างพลูเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร โดยจำเลยที่ 1 ยังมิได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงถิ่นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1 ไปตั้งอยู่ณ สถานที่แห่งอื่น จำเลยที่ 3 ก็ยังไม่ได้แจ้งย้ายไปอยู่ที่อื่น ก็ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่ ณ ถิ่นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ตามที่ได้จดทะเบียนไว้ และจำเลยที่ 3 มีภูมิลำเนาตามที่ระบุไว้ในสำเนาทะเบียนบ้าน การที่โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ณ บ้านเลขที่ 35 หมู่ที่ 7 แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร โดยวิธีปิดหมายตามคำสั่งศาลจึงเป็นการส่งโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วสำหรับจำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 2 นำสืบว่าเมื่อปี 2526 จำเลยที่ 2 ได้ย้ายจากบ้านเลขที่ 100/20 ตำบลอ้อมใหญ่ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 9/9 – 14 ตำบลอ้อมใหญ่ อำเภอสามพรานจังหวัดนครปฐม ตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ล.1โจทก์นำสืบว่า ได้สืบหาที่อยู่ของจำเลยที่ 2 ไม่พบในที่สุดได้ขออนุญาตให้ประกาศทางหนังสือพิมพ์ เห็นว่าครั้งแรกโจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 2ที่บ้านเลขที่ 100/20 หมู่ที่ 8 ตำบลอ้อมใหญ่ อำเภอสามพรานจังหวัดนครปฐม แต่ส่งให้ไม่ได้เพราะจำเลยที่ 2 ได้ขายไปแล้วโจทก์ไปตรวจสอบแล้วปรากฏว่าจำเลยได้แจ้งย้ายออกไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 30/5 ตำบลสะเต็ง อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลาแต่เมื่อโจทก์ไปขอคัดสำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าวปรากฏว่าไม่มีบ้านเลขที่ดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.16 และ จ.17ตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ล.1 นั้น ปรากฏว่ามีจำเลยที่ 2 คนเดียวระบุว่าย้ายมาจากบ้านเลขที่ 100/20 หมู่ที่ 8ตำบลอ้อมใหญ่ อำเภอสามพราน แต่ตามเอกสารหมาย จ.16ซึ่งมีนายทะเบียนอำเภอสามพราน รับรองสำเนาถูกต้องระบุว่าจำเลยที่ 2 ได้ย้ายไปอยู่ที่จังหวัดยะลา ที่จำเลยที่ 2นำสืบว่าได้ย้ายไปอยู่บ้านเลขที่ 9/9 – 14 หมู่ที่ 2ตำบลอ้อมใหญ่ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ตามเอกสารหมาย ล.1 นั้น โจทก์มีนายเฉลียว อ่วมมีเพียรเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนอำเภอสามพรานเบิกความว่าได้ตรวจสอบแล้วไม่มีบ้านเลขที่ 9/9 – 14 ในทะเบียนราษฎรของอำเภอสามพรานทั้งตามคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 2 ได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 9/9-14 มาแต่ต้น จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นศาลฎีกาจึงไม่นำมาวินิจฉัยให้ ถือว่าจำเลยที่ 2 ไม่ปรากฏภูมิลำเนาเป็นกรณีที่การส่งคำคู่ความหรือเอกสารไม่สามารถกระทำได้โดยวิธีธรรมดา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ประกาศโฆษณาทางหนังสือพิมพ์แทนการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยวิธีธรรมดาจึงเป็นการส่งโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ในวันนัดพิจารณานัดแรก ทนายโจทก์แถลงขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนได้ พร้อมทั้งมีคำสั่งให้ประกาศแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 2 ทราบที่หน้าศาลและออกหมายนัดแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ทราบ การส่งหมายถ้าไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดหมาย พนักงานเดินหมาย กรมบังคับคดีได้ส่งหมายนัดให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 โดยวิธีปิดหมายการแจ้งวันนัดพิจารณาให้จำเลยทั้งสามทราบ จึงเป็นการส่งคำคู่ความหรือเอกสารโดยวิธีอื่นตามคำสั่งศาลชั้นต้นเมื่อจำเลยทั้งสามไม่ได้ไปศาลในวันนัดพิจารณา จึงถือว่าจำเลยทั้งสามขาดนัดพิจารณา
พิพากษายืน

Share