แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องเข้าครอบครองและปลูกบ้านในที่ดินโดยผู้ร้องมีสิทธิในที่ดินมรดกร่วมกับผู้คัดค้านและบุตรคนอื่น ๆ อันเป็นการครอบครองที่ดินมรดกที่ยังไม่ได้แบ่งร่วมกัน ยังถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเข้าครอบครองที่ดินดังกล่าว โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ดังนี้ ผู้ร้องจะได้ครอบครองนานเพียงใด ผู้ร้องก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น
ย่อยาว
คดีทั้งสามสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันผู้ร้องทั้งสามสำนวนยื่นคำร้องเป็นใจความว่า เดิมที่ดินตามโฉนดที่ดิน เลขที่ 847 ตำบลศรีราชา อำเภอบางพระ (ศรีราชา)จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 50 ตารางวา มีชื่อนางแข สุขศรี เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เมื่อนางแขถึงแก่ความตายมีทายาทรับมรดกถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน 4 คน คือนายโต๊ะ สุขศรีนางปุ๋ย ชูสมบัติ นางนิด แสงจันทร์ และนางทองอยู่ ขยันจิตร์ต่อมานายโต๊ะ ถึงแก่ความตาย นางเขียว ผู้คัดค้านซึ่งเป็นภริยาได้เข้ารับมรดกที่ดินแปลงนี้เฉพาะส่วนของนายโต๊ะ และผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินแปลงนี้ได้แบ่งแยกโฉนดที่ดินกัน โดยนางเขียวเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดที่ดินดังกล่าวเป็นเนื้อที่ 1 งาน 37 ตารางวา ผู้ร้องเป็นบุตรของนายโต๊ะกับผู้คัดค้าน ก่อนที่นายโต๊ะจะถึงแก่ความตาย นายโต๊ะได้ยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่นางอำไร นางเจริญ และนางวิลัยผู้ร้องทั้งสาม เป็นเนื้อที่ 27.5 ตารางวา 16.5 ตารางวา และ24 ตารางวาตามลำดับ โดยมิได้จดทะเบียนยกให้ตามกฎหมายผู้ร้องทั้งสามต่างเข้าครอบครองปลูกสร้างบ้านอยู่อาศัย โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า10 ปี ผู้ร้องทั้งสามได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ขอให้มีคำสั่งว่าผู้ร้องแต่ละคนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินเฉพาะส่วนที่ได้ครอบครองดังกล่าว
ผู้คัดค้านทั้งสามสำนวนยื่นคำคัดค้านว่า นายโต๊ะไม่เคยยกที่ดินให้แก่ผู้ร้องทั้งสาม ความจริงผู้คัดค้านซึ่งเป็นมารดาได้เป็นผู้อนุญาตให้ผู้ร้องทั้งสามเข้ามาปลูกบ้านอยู่อาศัยภายในเขตที่ดินตามคำร้องเนื่องจากผู้ร้องทั้งสามไม่มีที่ดินปลูกบ้าน ผู้ร้องทั้งสามครอบครองที่ดินตามฟ้องโดยอาศัยสิทธิของผู้คัดค้าน แม้จะครอบครองเกินกว่า 10 ปี ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า ผู้ร้องทั้งสามได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทที่ผู้ร้องแต่ละคนครอบครอง
ผู้คัดค้านทั้งสามสำนวนฎีกา
ก่อนที่ผู้คัดค้านทั้งสามสำนวนฎีกาและหลังจากที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้วนางอำพรและนางวิลัยผู้ร้องถึงแก่กรรม บุตรของคนทั้งสองคือ นางสาวดวงแก้ว มานะ ให้ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนนางอำพรผู้ร้อง และ นางสาวจริยา ไวยพัฒน์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนนางวิลัยผู้ร้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ที่ดินที่ผู้ร้องทั้งสามต่างเข้าครอบครองปลูกบ้านอยู่อาศัยเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 847 ตามคำร้อง ซึ่งเป็นมรดกของนายโต๊ะบิดาผู้ร้องทั้งสาม และเมื่อนายโต๊ะถึงแก่ความตายแล้วผู้คัดค้านมารดาผู้ร้องทั้งสามได้เป็นผู้ขอรับมรดก คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า ที่ดินที่ผู้ร้องทั้งสามครอบครองปลูกบ้านอยู่อาศัยเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองโดยปรปักษ์หรือไม่เห็นว่า จากข้อนำสืบของผู้ร้องทั้งสามว่า เมื่อนายโต๊ะถึงแก่ความตายแล้ว ผู้คัดค้านเป็นผู้ขอรับมรดกที่ดินส่วนที่เป็นของนายโต๊ะแทนผู้ร้องทั้งสามและบุตรคนอื่น ๆ และก่อนที่นายโต๊ะจะถึงแก่ความตายนายโต๊ะได้สั่งห้ามมิให้ผู้ใดขายที่ดินเพื่อให้บุตรได้ใช้ที่ดินปลูกบ้านอยู่อาศัย ไม่ได้ความว่านายโต๊ะได้ยกที่ดินโฉนดเลขที่ 847 เฉพาะส่วนของตนให้แก่ผู้ร้องทั้งสามตามคำร้องของผู้ร้องทั้งสามแต่อย่างใด ที่ดินส่วนที่เป็นมรดกของนายโต๊ะย่อมตกทอดได้แก่ผู้คัดค้าน ผู้ร้องทั้งสาม ซึ่งเป็นภริยาและบุตรกับบุตรคนอื่น ๆ ทั้งไม่ปรากฏว่า ได้มีการตกลงแบ่งที่ดินมรดกรายนี้แต่อย่างใด ผู้คัดค้านเป็นมารดาและเป็นผู้ขอรับมรดกที่ดินของนายโต๊ะ คดีมีเหตุผลน่าเชื่อตามที่ผู้คัดค้านนำสืบว่า ผู้ร้องทั้งสามได้ขอปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวจากผู้คัดค้าน การที่ผู้ร้องทั้งสามเข้าครอบครองและปลูกบ้านในที่ดินนั้นก็โดยอาศัยจากการที่ผู้ร้องทั้งสามมีสิทธิในที่ดินมรดกร่วมกับผู้คัดค้านและบุตรคนอื่น ๆ อันเป็นการครอบครองที่ดินมรดกที่ยังไม่ได้แบ่งร่วมกันยังถือไม่ได้ว่า ผู้ร้องทั้งสามเข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ แม้ผู้ร้องทั้งสามจะได้ครอบครองนานเพียงใด ผู้ร้องทั้งสามก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น”
พิพากษายืนและให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสามสำนวน