แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุจากกระทรวงการคลัง แต่เข้าครอบครองที่ดินไม่ได้เพราะจำเลยถือสิทธิครอบครองอยู่ก่อนโจทก์จึงแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน แล้วโจทก์จำเลยตกลงกันว่าจำเลยยอมรื้อบ้านเรือนออกไปภายใน 15 วัน และโจทก์จำเลยลงชื่อไว้ในบันทึกข้อตกลง ถือได้ว่าบันทึกดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินราชพัสดุของกระทรวงการคลัง ตั้งอยู่ที่ตำบลตูมใต้ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี โดยได้ทำสัญญาเช่า จำเลยบังอาจบุกรุกเข้าไปปลูกบ้านในที่ดินดังกล่าว โจทก์ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนอำเภอกุมภวาปีเพื่อดำเนินคดีอาญากับจำเลย พนักงานสอบสวนไกล่เกลี่ยตกลงประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยอมรับว่าจะทำการรื้อบ้านที่ปลูกอยู่ออกไปภายในกำหนด 15 วันตามสำเนารายงานเบ็ดเสร็จประจำวันท้ายฟ้อง ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่รื้อขอให้ศาลบังคับขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยรื้อถอนบ้านที่สร้างอยู่ในที่ดินของโจทก์ออกไป
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกกระทรวงการคลังเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมศาลอนุญาต
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้บุกรุกการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ ที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านเดิมเป็นของนายดัน ต่อมานายเขียวซื้อเรือนพร้อมทั้งสิทธิครอบครองที่ดินจากนายดัน จำเลยซื้อเรือนและสิทธิอยู่ในที่ดินจากนายเขียวอีกทอดหนึ่ง โจทก์มิได้เช่าที่ดินตรงที่จำเลยซื้อจากนายเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยเช่าแล้ว โจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินสำเนาเบ็ดเสร็จประจำวันท้ายฟ้องไม่ใช่สัญญาประนีประนอม โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง
กระทรวงการคลังโจทก์ร่วมขอเพิ่มเติมคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องว่าเมื่อ พ.ศ. 2510 นายเขียวบุกรุกเข้าครอบครองปลูกเรือนหนึ่งหลังลงในที่ดินพิพาท จำเลยเข้าครอบครองบ้านเรือนและที่ดินส่วนที่นายเขียวบุกรุก โดยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์ร่วม โดยจำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ ต่อโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมไม่ประสงค์จะให้จำเลยครอบครองที่พิพาทต่อไป ขอให้ศาลบังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาท
วันชี้สองสถาน จำเลยรับว่ารายงานเบ็ดเสร็จประจำวันของสถานีตำรวจภูธรอำเภอกุมภวาปีท้ายฟ้องถูกต้อง รายละเอียดเป็นไปตามสำเนาหนังสือจริง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านเรือนที่ปลูกอยู่ในที่พิพาทออกไปห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฟ้องของโจทก์ถือเอาข้อตกลงตามบันทึกรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันของสถานีตำรวจภูธรอำเภอกุมภวาปีตามสำเนาท้ายฟ้องมาเป็นมูลฟ้องจำเลย ปัญหาจึงมีว่า ข้อตกลงดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้หรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เหตุที่จะเกิดข้อตกลงตามบันทึกรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันดังกล่าวเนื่องจากโจทก์จำเลยมีกรณีพิพาทกันเรื่องที่ดินราชพัสดุ โดยโจทก์เป็นผู้ทำสัญญาเช่ากับกระทรวงการคลัง แล้วเข้าครอบครองที่ดินไม่ได้ เพราะจำเลยถือสิทธิเข้าครอบครองก่อนโจทก์จึงไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนพนักงานสอบสวนไกล่เกลี่ย โจทก์จำเลยตกลงกันได้โดยจำเลยยอมรื้อบ้านเรือนออกไปภายใน 15 วัน แล้วโจทก์จำเลยลงชื่อไว้ในบันทึกนั้นบันทึกดังกล่าวจึงเข้าลักษณะสัญญาประนีประนอมยอมความ เพราะเป็นการระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยให้เสร็จไป มีผลทำให้โจทก์จำเลยได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้น โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นได้
พิพากษายืน