คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์มอบหมายให้จำเลยซึ่งเป็นทนายความของโจทก์ในคดีก่อนมีอำนาจรับเงินจากจำเลยในคดีนั้นแทนโจทก์ได้ เมื่อจำเลยรับเงินจากธ. ซึ่งชำระหนี้แก่โจทก์แทนจำเลยในคดีดังกล่าว เงินที่จำเลยรับไว้จึงตกเป็นของโจทก์ จำเลยเบียดบังเอาเงินนั้นไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริต การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานยักยอก โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกโดยบรรยายฟ้องว่า ระหว่างวันเวลาที่ระบุไว้ จำเลยรับเงินจาก ธ. ซึ่งชำระหนี้แก่โจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน 180,000 บาท และจำเลยเบียดบังยักยอกเงินดังกล่าวไปโดยทุจริต มิได้บรรยายให้ปรากฏว่าจำเลยรับเงินกี่ครั้ง ครั้งละเท่าใด ดังนี้ แม้จะพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรม ศาลก็จะเรียงกระทงลงโทษจำเลยไม่ได้ เพราะเป็นการนอกเหนือไปจากฟ้อง ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195ประกอบด้วยมาตรา 225

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352, 91 รวม 4 กรรม เรียงกระทงลงโทษกระทงละ 6 เดือนศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและให้ลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกินห้าปี จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218จำเลยฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายและในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล ระหว่างวันที่ 10 มีนาคม 2526 ถึงวันที่ 12 เมษายน 2528 จำเลยเป็นทนายความของโจทก์ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7482/2526 ของศาลอาญา ระหว่าง ห้างหุ้นส่วนจำกัดสกายเวย์อินเตอร์เนชั่นแนลโจทก์ ห้างหุ้นส่วนจำกัดโรสอาหรับ ที่ 1 นางกุหลาบ อรธรรมรัตน์ที่ 2 จำเลย เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค โจทก์กับจำเลยทั้งสองในคดีอาญาดังกล่าวตกลงกันได้ นายธวัชชัย บุริมสิทธิชัย ผู้ประกันของนางกุหลาบจำเลยที่ 2 ผ่อนชำระเงินบางส่วนตามเช็คที่ฟ้องให้จำเลยเพื่อนำไปชำระหนี้ให้โจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน 180,000 บาท โดยจำเลยได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้รับเงินแทนโจทก์ได้ แต่จำเลยกลับเบียดบังเอาไปเป็นของตนโดยทุจริตไม่นำเงินนั้นไปชำระให้โจทก์แต่อย่างใดภายหลังโจทก์ทราบเรื่องดังกล่าวจึงได้ทวงถามจำเลยให้ชำระแก่โจทก์แต่จำเลยเพิกเฉย ที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อจำเลยเป็นทนายความของโจทก์ในคดีดังกล่าว จำเลยจึงมีอำนาจหน้าที่เฉพาะการยื่นฟ้องและดำเนินกระบวนพิจารณาเท่านั้น การที่จำเลยรับเงินไว้จากตัวความย่อมเป็นการนอกเหนืออำนาจและมิใช่เป็นการรับไว้ในฐานะตัวแทนโจทก์นั้น เท่ากับเป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ซึ่งฟังมาแล้วว่าจำเลยได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้รับเงินแทนโจทก์ได้ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาต่อมาว่าแม้จำเลยจะรับเงินเพื่อไปมอบให้โจทก์ จำเลยก็มีฐานะเป็นตัวแทนของนางกุหลาบหรือนายธวัชชัยไม่ใช่ตัวแทนของโจทก์ การที่จำเลยเบียดบังเอาเงินไว้เป็นของตนโดยไม่นำไปมอบแก่โจทก์ จำเลยต้องรับผิดทางแพ่งต่อบุคคลทั้งสองดังกล่าวเท่านั้น เพราะเงินดังกล่าวยังไม่ตกเป็นของโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดและโจทก์มิใช่ผู้เสียหาย จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้มอบหมายให้จำเลยมีอำนาจรับเงินจากจำเลยทั้งสองในคดีอาญาดังกล่าวแทนโจทก์ได้ และจำเลยได้รับเงินจากนายธวัชชัยซึ่งชำระหนี้แก่โจทก์แทนนางกุหลาบจำเลยที่ 2ในคดีอาญาดังกล่าวแล้ว เงินที่จำเลยรับไว้จึงตกเป็นของโจทก์เมื่อจำเลยเบียดบังเอาเงินนั้นไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริตการกระทำของจำเลยจึงครบองค์ประกอบความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และโจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ คำพิพากษาฎีกาที่จำเลยอ้างมาข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่าฟ้องของโจทก์ไม่ได้ความว่าจำเลยกระทำผิดที่ไหน เมื่อใด จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าเมื่อประมาณเดือนเมษายน 2526 ถึงวันที่ 21 มกราคม 2528 เวลาใดไม่ปรากฏชัดจำเลยได้เบียดบังยักยอกเงินที่นายธวัชชัยชำระให้โจทก์แทนจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในคดีหมายเลขแดงที่ 7482/2526 ของศาลอาญา เป็นของตนโดยทุจริต และได้บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า เหตุเกิดที่แขวงบางกะปิเขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร และที่แขวงรองเมือง เขตปทุมวันกรุงเทพมหานคร เกี่ยวเนื่องกัน เช่นนี้ ถือได้ว่าฟ้องของโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจได้ดีแล้วจึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า ระหว่างวันเวลาที่ระบุในฟ้องจำเลยได้รับเงินจากนายธวัชชัยซึ่งชำระหนี้แก่โจทก์แทนจำเลยทั้งสองในคดีอาญาดังกล่าวหลายครั้งรวมเป็นเงิน 180,000 บาทและจำเลยเบียดบังยักยอกเงินดังกล่าวไปโดยทุจริต ฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายให้ปรากฏว่า จำเลยได้รับเงินจากนายธวัชชัยดังกล่าวจำนวนกี่ครั้ง แต่ละครั้งเป็นจำนวนเท่าใด ดังนี้ แม้จะพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกหลายกรรมต่างกัน ศาลก็จะเรียงกระทงลงโทษจำเลยแต่ละกรรมไม่ได้เพราะเป็นการนอกเหนือไปจากฟ้อง ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 กระทงเดียว จำคุก 6 เดือน”

Share