แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อความตามแผ่นปลิวโฆษณาเชิญชวนให้ซื้อรถยนต์ของจำเลยมีว่า “จองวันนี้รับฟรีโทรศัพท์มือถือ โทรฟรีทั่วไทย บี.เอ็ม.ดับบลิว/เปอร์โยต์ ลักกี้เดย์ ทุกรุ่นทุกแบบผ่อนฟรีไม่มีดอกเบี้ย แถมประกันภัยชั้น 1 ฟรี” ถือว่าเป็นเงื่อนไขในข้อเสนอขายของจำเลย เมื่อโจทก์เข้าสนองตอบตามข้อเสนอขาย โดยเข้าทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาท กับจำเลย แต่จำเลยละเลยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ให้ถูกต้องครบถ้วนตามข้อความในแผ่นปลิวโฆษณาเชิญชวนทั้งต่อมายังนำรถยนต์พิพาทกลับไปไว้ในความครอบครองของจำเลยไม่ส่งมอบคืนให้โจทก์ได้ครอบครองใช้ประโยชน์รถยนต์พิพาท จึงเป็นการผิดสัญญา โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาและฟ้องคดี ถือได้ว่าสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาท เลิกกันโดยปริยาย มีผลให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยรับรถยนต์พิพาทกลับคืนมาไว้ในความครอบครองแล้วจึงมีหน้าที่ต้องส่งคืนเงินมัดจำให้แก่โจทก์ตามสัญญาที่บัญญัติไว้ในมาตรา 378 (3) ส่วนการที่โจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์รถยนต์พิพาทก่อนที่จำเลยนำกลับคืนไป โจทก์จึงต้อง ชำระค่าใช้ทรัพย์และค่าเสียหายที่จำเลยเสียไปในการซ่อมแซมรถยนต์พิพาทให้คืนสภาพดีดังเดิม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๓๐๑,๘๗๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสามคืนเช็ค ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาทุ่งสง หมายเลข ๒๔๖๙๘๓๐ ฉบับลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๔๐ (ที่ถูก ๓ มกราคม ๒๕๔๐) จำนวนเงิน ๒๙๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๓ ชำระเงิน ๓๐๑,๘๗๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๔๐) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ ๓ คืนเช็คของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาทุ่งสง หมายเลขเช็ค ๒๔๖๙๘๓๐ ฉบับลงวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๔๐ สั่งจ่ายเงิน ๒๙๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ ๓ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่า ทนายความ ๔,๐๐๐ บาท ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๓ ชำระเงิน ๑๘๒,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้จำเลยที่ ๓ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลทั้งสองศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๕,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๓ ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๓๙ โจทก์ตกลงทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทกับจำเลยที่ ๓ โดยมีจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๓ ในการขายรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ในราคา ๑,๙๗๐,๐๐๐ บาท ตกลงชำระเงินดาวน์ ๕๙๐,๐๐๐ บาท โจทก์ชำระเป็นมัดจำ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือชำระด้วยเช็คจำนวนเงิน ๒๙๐,๐๐๐ บาท สำหรับราคารถยนต์พิพาทที่เหลือจำนวน ๑,๓๘๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์เข้าทำสัญญาเช่าซื้อ กับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด จำเลยที่ ๓ ส่งมอบรถยนต์พิพาทให้โจทก์ในวันทำสัญญา ตามสัญญาซื้อขายรถยนต์เอกสารหมาย จ.๓ โจทก์รับรถยนต์พิพาทไปใช้จนถึงวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๐ เป็นระยะทางประมาณ ๔,๐๐๐ กิโลเมตร จำเลยที่ ๒ ได้มาเอารถยนต์พิพาทไปจากโจทก์เพื่อตรวจเช็คสภาพรถยนต์และไม่นำรถยนต์พิพาทมาคืนโจทก์อ้างว่าต้องให้โจทก์ปฏิบัติการชำระหนี้และทำสัญญาเช่าซื้อเสร็จก่อน ตามเอกสารหมาย ล.๑๑ โจทก์แจ้งความต่อ เจ้าพนักงานตำรวจและมีการเจรจากัน แต่ตกลงกันไม่ได้ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๐ โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาอ้างว่าเป็นการผิดสัญญาเพราะไม่นำรถยนต์พิพาทมาคืนโจทก์และรถยนต์พิพาทชำรุดบกพร่องหลายประการ ตามหนังสือบอกเลิกสัญญา เอกสารหมาย จ.๑๒
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๓ มีว่า จำเลยที่ ๓ เป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทต่อโจทก์และต้องคืนมัดจำให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ตัวแทนของจำเลยที่ ๓ ตกลงทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาท ตามเอกสารหมาย จ.๓ และโจทก์ได้รับมอบรถยนต์พิพาทไว้ในครอบครองในวันทำสัญญาซื้อขายแล้ว จำเลยที่ ๓ จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามแผ่นปลิวโฆษณาเชิญชวนให้ซื้อรถยนต์ของจำเลยที่ ๓ ตามเอกสารหมาย จ.๗ ที่ว่า “จองวันนี้รับฟรีโทรศัพท์มือถือโทรฟรีทั่วไทย บี.เอ็ม.ดับบลิว/เปอโยต์ ลักกี้เดย์ ทุกรุ่นทุกแบบผ่อนฟรีไม่มีดอกเบี้ย แถมประกันภัยชั้น ๑ ฟรี” ซึ่งข้อความตามแผ่นปลิวโฆษณาดังกล่าวถือว่าเป็นเงื่อนไขในข้อเสนอขายของจำเลยที่ ๓ เมื่อโจทก์เข้าสนองตอบตามข้อเสนอขาย โดยเข้าทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทกับจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ จึงต้องส่งมอบโทรศัพท์มือถือและทำสัญญาประกันชั้นหนึ่งให้แก่รถยนต์พิพาท ทั้งต้องดำเนินการเพื่อให้โจทก์เข้าทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด ด้วย การผ่อนชำระค่าเช่าซื้อโดยไม่มีดอกเบี้ยตามเงื่อนไขในข้อเสนอขายดังกล่าวและต้องส่งมอบรถยนต์พิพาทในสภาพที่ไม่มีความชำรุดบกพร่อง แต่เมื่อโจทก์เข้าทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทกับจำเลยที่ ๓ แล้ว จำเลยที่ ๓ ละเลยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ให้ถูกต้องครบถ้วน ในวันที่โจทก์ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทตามข้อเสนอเชิญชวนที่กำหนดไว้ในแผ่นปลิวโฆษณาแต่อย่างใด ทั้งต่อมายังนำรถยนต์พิพาทกลับไปไว้ในความครอบครองของจำเลยที่ ๓ ไม่ส่งมอบคืนให้โจทก์ได้ครอบครองใช้ประโยชน์รถยนต์พิพาทตามสัญญาซื้อขาย การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ ๓ จึงเป็นการผิดสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทต่อโจทก์ และต่อมาโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาททั้งฟ้องคดีนี้จึงถือได้ว่าสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทเลิกกันโดยปริยายอันมีผลให้ คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑ วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยที่ ๓ รับรถยนต์พิพาทกลับคืนมาไว้ในความครอบครองแล้ว จึงมีหน้าที่ต้องส่งคืนเงินมัดจำให้แก่โจทก์ อันเนื่องมาจากจำเลยที่ ๓ ผิดสัญญาละเลยไม่ชำระหนี้ตามข้อเสนอเชิญชวนไว้ในแผ่นปลิวโฆษณาให้แก่โจทก์ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๘ (๓) ส่วนการที่โจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์รถยนต์พิพาทก่อนที่จำเลยที่ ๓ จะนำกลับคืนไปเป็นเวลาประมาณ ๑ เดือน ระยะทางประมาณ ๔,๐๐๐ กิโลเมตร และจำเลยที่ ๓ เสียค่าจ้างในการซ่อมแซมรถยนต์พิพาทให้กลับคืนสภาพดีดังเดิม ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค ๘ กำหนดให้โจทก์ต้องชำระค่าใช้ทรัพย์เป็นเงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และค่าเสียหายอันเกิดจากจำเลยที่ ๓ ซ่อมแซมรถยนต์พิพาทเป็นเงิน ๑๘,๐๐๐ บาท นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยว่าเป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ