คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7443/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลภาษีอากรกลาง จำเลยจะต้องยื่นเอกสารและคำคู่ความต่าง ๆ โดยตรงต่อศาลภาษีอากรกลาง การที่จำเลยจะยื่นคำให้การต่อศาลจังหวัดนราธิวาสซึ่งตนมีภูมิลำเนาอยู่ จึงต้องเป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรฯมาตรา 17 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 10 การที่จำเลยยื่นคำให้การภายในกำหนดพร้อมคำแถลงโดยมิได้ทำเป็นคำร้องต่อศาลจังหวัดนราธิวาสโดยอ้างเพียงว่าจะครบกำหนดยื่นคำให้การ ไม่สามารถยื่นคำให้การได้ทันที่ศาลภาษีอากรกลาง ขอให้ศาลจังหวัดนราธิวาสรับคำให้การและเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อนำส่งโดยทางโทรสารให้ด้วย และไม่ได้ระบุว่ากรณีมีเหตุสุดวิสัยอย่างใดจึงเดินทางไปยื่นคำให้การเองไม่ได้ กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 10 จำเลยจึงไม่อาจยื่นคำให้การที่ศาลจังหวัดนราธิวาสได้
แต่การที่จำเลยได้เคยขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การผ่านศาลจังหวัดนราธิวาสมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งและศาลภาษีอากรกลางได้พิจารณาสั่งคำแถลงดังกล่าวให้ทั้งที่กรณีไม่ปรากฏว่ามีเหตุสุดวิสัยอย่างใดนั้นจึงไม่ชอบ การที่ศาลภาษีอากรกลางยอมรับและมีคำสั่งให้ดังกล่าวจึงเป็นเหตุให้จำเลยเข้าใจว่าสามารถยื่นคำให้การต่อศาลจังหวัดนราธิวาสได้เช่นกัน การที่จำเลยยื่นคำให้การโดยมิชอบจึงสืบเนื่องมาจากการที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม แต่เนื่องจากได้ล่วงเลยระยะเวลายื่นคำให้การของจำเลยแล้ว กรณีเป็นเหตุสุดวิสัยที่สมควรขยายระยะเวลาให้จำเลยดำเนินการยื่นคำให้การต่อศาลภาษีอากรกลางต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ค่าภาษีอากรรวม 880,851.47 บาทจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนคิดเป็นเดือนในค่าภาษีจำนวน 296,785 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ไม่เกินค่าภาษี ให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 9ร่วมรับผิดชำระหนี้ภาษีอากรจำนวน 880,851.47 บาท ตามอัตราส่วนการลงทุนแต่ไม่เกินจำนวนเงินที่รับไปในฐานะผู้ถือหุ้น

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9 ยื่นคำแถลงและยื่นคำให้การต่อศาลจังหวัดนราธิวาสเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2543 ว่าได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยการปิดหมายเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2543 ซึ่งจะครบกำหนดยื่นคำให้การวันที่ 30 ตุลาคม 2543 (ที่ถูกวันที่ 31 ตุลาคม 2543) แต่ทนายจำเลยที่ 1ถึงที่ 7 และที่ 9 เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นทนายความเมื่อใกล้จะครบกำหนดยื่นคำให้การไม่สามารถยื่นคำให้การต่อศาลภาษีอากรกลางได้จึงขอยื่นคำให้การและบัญชีระบุพยานต่อศาลจังหวัดนราธิวาส ซึ่งเป็นศาลที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9 มีภูมิลำเนาเพื่อจัดการนำส่งโดยทางโทรสาร ต่อมาวันที่ 31 ตุลาคม 2543 ศาลจังหวัดนราธิวาสมีคำสั่งว่าดำเนินการให้ แต่ไม่ปรากฏว่าศาลจังหวัดนราธิวาสดำเนินการส่งคำร้องคำให้การและบัญชีระบุพยานดังกล่าวทางโทรสารให้ศาลภาษีอากรกลางดำเนินการต่อไป คงส่งคำแถลงคำให้การและบัญชีระบุพยานของจำเลยที่ 1ถึงที่ 7 และที่ 9 ไปยังศาลภาษีอากรกลางตามวิธีปกติและศาลภาษีอากรกลางได้รับเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2543 ต่อมาวันที่ 7 พฤศจิกายน 2543 ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งว่า ปิดหมายวันที่ 1 ตุลาคม 2543 ครบกำหนดยื่นคำให้การวันที่ 31 ตุลาคม 2543 การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9ยื่นคำให้การพร้อมคำแถลงลงวันที่ 30 ตุลาคม 2543 ต่อศาลจังหวัดนราธิวาส เพื่อให้จัดส่งไปศาลภาษีอากรกลางโดยอ้างเพียงว่า ไม่สามารถยื่นคำให้การได้ทันทีศาลภาษีอากรกลางทั้งที่ยังมีเวลาดำเนินการในวันรุ่งขึ้นได้ จึงมิใช่กรณีที่มีเหตุสุดวิสัยที่จะยื่นคำให้การต่อศาลจังหวัดนราธิวาสที่จำเลยมีภูมิลำเนาได้และเมื่อพ้นกำหนดยื่นคำให้การไปแล้วจึงไม่รับคำให้การจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9 แจ้งคำสั่งให้จำเลยทราบ

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9 อุทธรณ์คำสั่ง

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งเก้าต่อศาลภาษีอากรกลาง โจทก์ได้นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9 ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนราธิวาส จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9 ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยการปิดหมายในวันที่ 1 ตุลาคม 2543 ครบกำหนดยื่นคำให้การในวันที่ 31 ตุลาคม 2543 ต่อมาวันที่ 17 ตุลาคม 2543 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7และที่ 9 ได้ยื่นคำแถลงขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การต่อศาลจังหวัดนราธิวาส โดยขอให้ศาลจังหวัดนราธิวาสส่งคำแถลงไปให้ศาลภาษีอากรกลางทางโทรสาร ศาลจังหวัดนราธิวาสดำเนินการส่งคำแถลงดังกล่าวให้แก่ศาลภาษีอากรกลางตามขอในวันที่ 18 ตุลาคม 2543 ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาคำแถลงแล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9สามารถยื่นคำให้การได้ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2543 จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำให้การ หลังจากนั้นในวันที่ 30 ตุลาคม 2543จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9 ยื่นคำให้การพร้อมคำแถลงต่อศาลจังหวัดนราธิวาส ขอให้ศาลจังหวัดนราธิวาสส่งคำให้การไปให้ศาลภาษีอากรกลางโดยทางโทรสาร ศาลจังหวัดนราธิวาสมีคำสั่งว่า ดำเนินการให้ แต่เจ้าหน้าที่ศาลจังหวัดนราธิวาสจัดส่งคำให้การและเอกสารที่เกี่ยวข้องดังกล่าวให้แก่ศาลภาษีอากรกลางโดยวิธีธรรมดา ต่อมาวันที่ 7 พฤศจิกายน2543 ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่ง “ปิดหมายวันที่ 1 ตุลาคม 2543 ครบกำหนดยื่นคำให้การวันที่ 31 ตุลาคม 2543 การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9ยื่นคำให้การพร้อมคำแถลงลงวันที่ 30 ตุลาคม 2543 ต่อศาลจังหวัดนราธิวาสเพื่อให้จัดส่งไปศาลภาษีอากรกลางโดยอ้างเพียงว่าไม่สามารถยื่นคำให้การได้ทันที่ศาลภาษีอากรกลางทั้งที่ยังมีเวลาดำเนินการในวันรุ่งขึ้นได้ จึงมิใช่กรณีมีเหตุสุดวิสัยที่จะยื่นคำให้การต่อศาลจังหวัดนราธิวาสที่จำเลยมีภูมิลำเนาได้ และเมื่อกรณีเกินกำหนดระยะเวลายื่นคำให้การแล้ว จึงไม่รับคำให้การจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9″ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9 ว่า คำสั่งของศาลภาษีอากรกลางที่ไม่รับคำให้การของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9 ชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งเก้าต่อศาลภาษีอากรกลาง จำเลยทั้งเก้าจะต้องยื่นเอกสารและคำคู่ความต่าง ๆ โดยตรงต่อศาลภาษีอากรกลางการที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9 จะยื่นคำให้การต่อศาลจังหวัดนราธิวาสซึ่งตนมีภูมิลำเนาอยู่จึงต้องเป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 10 การที่ในวันที่ 30 ตุลาคม 2543 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9 ยื่นคำให้การพร้อมคำแถลงโดยมิได้ทำเป็นคำร้อง ต่อศาลจังหวัดนราธิวาสโดยอ้างเพียงว่าจะครบกำหนดยื่นคำให้การ ไม่สามารถยื่นคำให้การได้ทันที่ศาลภาษีอากรกลาง ขอให้ศาลจังหวัดนราธิวาสรับคำให้การและเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อนำส่งโดยทางโทรสารให้ด้วยและไม่ได้ระบุว่ากรณีมีเหตุสุดวิสัยอย่างใดจึงเดินทางไปยื่นคำให้การที่ศาลภาษีอากรกลางเองไม่ได้ กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 10 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9 จึงไม่อาจยื่นคำให้การที่ศาลจังหวัดนราธิวาสได้ แต่การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9 ได้เคยขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การโดยยื่นคำแถลงต่อศาลจังหวัดนราธิวาสในวันที่ 17 ตุลาคม2543 และศาลภาษีอากรกลางได้พิจารณาสั่งคำแถลงดังกล่าวให้ทั้งที่กรณีไม่ปรากฏว่ามีเหตุสุดวิสัยอย่างใดนั้น จึงไม่ชอบ การที่ศาลภาษีอากรกลางยอมรับและมีคำสั่งให้ดังกล่าว จึงเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7และที่ 9 เข้าใจว่าสามารถยื่นคำให้การต่อศาลจังหวัดนราธิวาสได้เช่นกันการที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9 ยื่นคำให้การโดยมิชอบต่อศาลจังหวัดนราธิวาสจึงสืบเนื่องมาจากการที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม แต่เนื่องจากได้ล่วงเลยระยะเวลายื่นคำให้การของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9 แล้วกรณีเป็นเหตุสุดวิสัยที่สมควรขยายระยะเวลาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9ดำเนินการยื่นคำให้การต่อศาลภาษีอากรกลางต่อไปอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1ถึงที่ 7 และที่ 9 ฟังขึ้นบางส่วน”

พิพากษายกคำสั่งไม่อนุญาตขยายระยะเวลายื่นคำให้การ และคำสั่งไม่รับคำให้การของศาลภาษีอากรกลาง ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9ยื่นคำให้การต่อศาลภาษีอากรกลางภายใน 15 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษานี้พ้นกำหนดไม่ยื่นถือว่าไม่ติดใจยื่นคำให้การ

Share