แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องยืนยันว่า จำเลยมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่โจทก์นำสืบว่า จำเลยมีเฮโรอีนฝาปิดสีแดงห่อละ 5 หลอด 2 ห่อ และห่อละ 3 หลอด 1 ห่อ ในกระดาษหนังสือพิมพ์ กรณีจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการจำหน่ายเฮโรอีนตามบทนิยามคำว่าจำหน่าย ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 เพราะการจำหน่ายตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวหมายถึงการจำหน่ายให้บุคคลอื่น แต่ในทางนำสืบของโจทก์เพียงแต่สืบทราบว่าจำเลยจำหน่ายยาเสพติดเท่านั้น ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าจำเลยมีเจตนามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย นอกจากนี้เฮโรอีนของกลางมีจำนวนเพียง 13.65 กรัม ไม่ถึง 20 กรัม ไม่เข้าข้อสันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามมาตรา 15 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักรับฟังว่าจำเลยมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน13 หลอดใหญ่ น้ำหนักรวม 13.65 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4,7, 8, 15, 66, 67, 102 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง จำเลยอายุ 18 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 แล้วให้จำคุก 12 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยกล่าวหาว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษชนิดเฮโรอีนจำนวน 13 หลอดใหญ่ น้ำหนักรวม13.65 กรัม อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจเอกไพรัช เศรษฐจิตต์ นายดาบตำรวจจำเนียรบุรณศรี เป็นพยานเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุสืบทราบว่าจำเลยลักลอบจำหน่ายเฮโรอีนที่บริเวณซอยจงประสาน ต่อมาในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 11 นาฬิกาสายลับมาแจ้งให้ร้อยตำรวจเอกไพรัชทราบว่า จำเลยกำลังจำหน่ายเฮโรอีนในซอยดังกล่าว ร้อยตำรวจเอกไพรัช นายดาบตำรวจจำเนียรกับพวก ซึ่งแต่งกายนอกเครื่องแบบโดยสารรถยนต์กระบะเดินทางไปยังที่เกิดเหตุเห็นจำเลยนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์อยู่จึงหยุดรถ ร้อยตำรวจเอกไพรัชกับพวกลงจากรถ เมื่อจำเลยเห็นร้อยตำรวจเอกไพรัชกับพวก จำเลยได้โยนถุงพลาสติกที่ถืออยู่ลงไปที่พื้นดิน ภายในมีห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ 3 ห่อ บรรจุเฮโรอีนหลอดใหญ่ ฝาปิดสีแดงห่อละ 5 หลอด 2 ห่อส่วนอีก 1 ห่อ บรรจุเฮโรอีน 3 หลอดใหญ่ จึงยึดเป็นของกลาง ควบคุมตัวจำเลยนำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองชลบุรี ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติการไปตามหน้าที่ ไม่มีเหตุที่จะระแวงสงสัยว่าจะเบิกความให้เป็นผลร้ายหรือกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย น่าเชื่อว่าเบิกความไปตามที่รู้เห็น ที่จำเลยนำสืบต่อสู้คดีว่าเจ้าพนักงานตำรวจเพียงแต่เชิญตัวจำเลยไปสถานีตำรวจแล้วนำเฮโรอีนใส่ถุงพลาสติกมาวางให้จำเลยชี้เพื่อรับว่าเป็นของจำเลยง่ายแก่การกล่าวอ้าง จึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังหักล้างคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกไพรัชกับนายดาบตำรวจจำเนียรได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกไพรัชกับนายดาบตำรวจจำเนียรว่า เฮโรอีนของกลางอยู่ในครอบครองของจำเลย มีปัญหาต่อไปว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวโจทก์บรรยายฟ้องยืนยันว่า จำเลยมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้น ที่โจทก์นำสืบว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ จำเลยมีเฮโรอีนฝาปิดสีแดง ห่อละ 5 หลอด 2 ห่อ และห่อละ 3 หลอด 1 ห่อ ในกระดาษหนังสือพิมพ์จึงยึดเป็นของกลาง จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการจำหน่ายเฮโรอีนตามบทนิยามคำว่าจำหน่ายตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 เพราะการจำหน่ายตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวหมายถึงการจำหน่ายให้บุคคลอื่น แต่ในทางนำสืบของโจทก์เพียงแต่สืบทราบว่าจำเลยจำหน่ายยาเสพติดเท่านั้น ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าจำเลยมีเจตนามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามฟ้อง นอกจากนี้เฮโรอีนของกลางมีจำนวนเพียง 13.65 กรัม ไม่ถึง 20 กรัม ไม่เข้าข้อสันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามมาตรา 15 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักรับฟังว่าจำเลยมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 จำเลยอายุ 18 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 แล้ว จำคุก 4 ปี ริบของกลางคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก