แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินของโจทก์ถูกเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงจังหวัดสายสันทราย-พร้าว พ.ศ. 2513 ซึ่งตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515ข้อ 87 กำหนดให้นำบทบัญญัติในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวส่วนที่ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างและขยายทางหลวงมาใช้บังคับแก่การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังดำเนินอยู่ในวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวใช้บังคับด้วย การกำหนดค่าทดแทนที่ดินให้โจทก์จึงต้องเป็นไปตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295ข้อ 76 ค่าทดแทนสำหรับที่ดินของโจทก์จึงต้องกำหนดเท่ากับราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงจังหวัดสายสันทราย-พร้าว พ.ศ. 2513 ใช้บังคับคือ ในวันที่ 14 ตุลาคม 2513 หาใช่ราคาปัจจุบันของที่ดินในขณะฟ้องไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี 2522 จำเลยได้ทำการก่อสร้างถนนสายสันทราย-พร้าว และได้ตัดที่ดินของโจทก์ไปเป็นเขตทางหลวงเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 23 ตารางวา โดยจำเลยได้ชำระเงินค่าทดแทนในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินส่วนที่ถูกตัดเป็นเขตทางหลวงให้แก่โจทก์แล้ว แต่เงินค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ จำเลยยังมิได้ชำระและขอผัดผ่อนเรื่อยมาเนื่องจากยังตกลงจำนวนเงินค่าทดแทนกันไม่ได้โจทก์มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยให้ชำระเงินค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ในราคาปัจจุบัน (ขณะฟ้อง) ตารางวาละ 2,500 บาท รวมเป็นเงิน1,307,500 บาท จำเลยเพิกเฉย จำเลยจึงต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2530อันเป็นวันที่โจทก์แจ้งให้จำเลยชำระหนี้ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 2,724บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,310,224 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 1,307,500 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า คณะกรรมการปรองดองเพื่อพิจารณาจ่ายค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ถูกทางหลวงสายสันทราย-พร้าว ตัดผ่านได้กำหนดค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ข้อ 76 โดยถือเอาราคาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงจังหวัดสายสันทราย-พร้าว พ.ศ. 2513 ใช้บังคับ และได้กำหนดค่าทดแทนที่ดินของโจทก์รวมเป็นเงิน 59,225 บาท โจทก์ไม่ยอมรับราคาดังกล่าวการที่โจทก์ปล่อยให้เวลาล่วงเลยแล้วมาฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,307,500 บาท โดยคิดราคาที่ดินในขณะยื่นฟ้องเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต เป็นการคิดค่าทดแทนไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน65,375 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6มีนาคม 2530 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ที่ดินของโจทก์ถูกเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงจังหวัดสายสันทราย-พร้าว พ.ศ. 2513 ซึ่งตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 87 กำหนดให้นำบทบัญญัติในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว ส่วนที่ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างและขยายทางหลวงมาใช้บังคับแก่การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังดำเนินอยู่ในวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวใช้บังคับด้วย การกำหนดค่าทดแทนที่ดินให้โจทก์จึงต้องเป็นไปตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 76 ซึ่งบัญญัติว่า”เงินค่าทดแทนนั้น ถ้าไม่มีบทบัญญัติเป็นพิเศษในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งออกตามข้อ 63 แล้ว ให้กำหนดเท่าราคาของทรัพย์สินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันดังต่อไปนี้ (2) ในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงใช้บังคับในกรณีที่ได้ตราพระราชกฤษฎีกาเช่นว่านั้น ฯลฯ” ค่าทดแทนสำหรับที่ดินของโจทก์จึงต้องกำหนดเท่ากับราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงจังหวัดสายสันทราย-พร้าวพ.ศ. 2513 ใช้บังคับ คือในวันที่ 14 ตุลาคม 2513 หาใช่ราคาปัจจุบันของที่ดินในขณะฟ้องดังที่โจทก์ฎีกาไม่ และราคาที่คณะกรรมการปรองดองกำหนดเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 แล้ว
พิพากษายืน