คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1121/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะที่เจ้าพนักงานศาลนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้จำเลยนั้นจำเลยไปต่างจังหวัด เจ้าพนักงานศาลจึงปิดหมายไว้ที่บ้านจำเลย แต่หมายเรียกและสำเนาคำฟ้องดังกล่าวอาจถูกบุคคลอื่นมาเอาไปหรือหลุดหายไปก่อนจำเลยกลับก็ได้เมื่อจำเลยไม่ได้รับหมายเรียกหรือพบเห็นหมายเรียกที่ปิดไว้ จะถือว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ออกตั๋วแลกเงิน 7 ฉบับ เป็นเงิน5,000,000 บาท เพื่อชำระหนี้ โจทก์เป็นผู้รับรองการจ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินดังกล่าวโดยจำเลยตกลงว่าหากจำเลยที่ 1 ไม่นำเงินมาชำระตามตั๋วแลกเงินเป็นเหตุให้โจทก์ต้องชำระเงินแทนจำเลยที่ 1 ยอมชำระเงินให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย โดยมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นผู้ค้ำประกัน และจำเลยที่ 5 นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจดทะเบียนจำนองกับโจทก์เพื่อชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1ต่อมาจำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินตามตั๋วแลกเงินเป็นเหตุให้โจทก์ต้องชำระเงินตามตั๋วแลกเงินดังกล่าวให้แก่ผู้ทรง ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงิน 8,207,343.23 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 5,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 5 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้ามาชำระหนี้โจทก์จนครบ
ระหว่างพิจารณาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 5 ไม่ได้ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กำหนดศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ว่า จำเลยที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 5 ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ โดยอ้างว่ามิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 5 จงใจขาดนัดยื่นคำให้การยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์ตามฟ้อง หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยที่ 5 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ยื่นคำให้การ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 5 เบิกความยืนยันว่าวันที่ 11 มิถุนายน 2532 เวลา 9 นาฬิกา จำเลยที่ 5 เดินทางไปธุระที่อำเภอพิมาย ที่บ้านไม่มีคนอยู่เฝ้า ซึ่งตรงตามบันทึกการปิดหมายของเจ้าพนักงานศาล ฉบับลงวันที่ 11 มิถุนายน 2532ว่า ขณะไปส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องนั้น ไม่พบจำเลยที่ 5 ไม่มีใครอยู่ในบ้าน สอบถามคนข้างบ้านได้ความว่า จำเลยที่ 5 ไปธุระที่อำเภอพิมาย ไม่ทราบว่าจะกลับเวลาใด จึงได้ปิดหมายไว้ที่บ้านจำเลยที่ 5 ในที่เห็นได้ง่าย จำเลยที่ 5 เบิกความว่ากลับถึงบ้านในวันที่ 12 มิถุนายน 2532 เวลาประมาณ 8 นาฬิกาไม่พบหมายเรียกหรือสำเนาฟ้องและไม่มีใครแจ้งให้ทราบว่ามีการปิดหมายเรียกและสำเนาฟ้องจำเลยที่ 5 เพิ่งทราบว่าถูกฟ้องเมื่อบุตรสาวเอาหมายนัดสืบพยานโจทก์มาให้ เมื่อวันที่ 9สิงหาคม 2532 จำเลยที่ 5 จึงได้ไปพบทนายความให้ดำเนินการให้โจทก์เพียงแต่แถลงคัดค้านคำร้องขอยื่นคำให้การจำเลยที่ 5 ลอย ๆไม่ได้อ้างเหตุผลพิเศษ ทั้งไม่ได้นำสืบข้อเท็จจริงใด ๆ จะสันนิษฐานเอาแต่เพียงว่า หมายเรียกและสำเนาฟ้องที่เจ้าพนักงาน
โต้แย้ง ดังนั้น ข้อนำสืบของจำเลยที่ 5 จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ของศาลได้ปิดไว้ที่บ้านจำเลยที่ 5 ในที่เปิดเผยนั้น จะยังคงติดอยู่ตลอดไปจนจำเลยที่ 5 กลับมาถึงบ้าน โดยไม่ได้ถูกบุคคลอื่นมาเอาไปหรือมีเหตุอื่นมาทำให้หมายเรียกและสำเนาฟ้องดังกล่าวหลุดหายไปเสียก่อนจำเลยที่ 5 จะกลับมาถึงบ้านซึ่งเป็นระยะเวลาอันยาวนานกว่า 23 ชั่วโมงหาได้ไม่ จำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยที่ 5 ถูกฟ้อง ก็มีจำนวนสูงถึงแปดล้านบาทเศษ เมื่อจำเลยที่ 5 ทราบว่าถูกฟ้องจากหมายนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 5 ก็ได้รีบดำเนินการให้ทนายความยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การทันที แสดงถึงว่า จำเลยที่ 5 มีความตั้งใจที่จะต่อสู้คดี หาใช่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การไม่ ข้อเท็จจริงต้องฟังว่า จำเลยที่ 5 มิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ
พิพากษากลับ ให้ยกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นรับคำให้การจำเลยที่ 5 ไว้ แล้วดำเนินการสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 5 และพิพากษาคดีใหม่ต่อไป

Share