คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1407/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คผู้ถือมอบให้ ส.ยึดถือไว้เมื่อปี 2516 มีจำเลยที่ 2 สลักหลังโดยไม่ได้ลงวันที่ออกเช็ค ต่อมาปี 2529 ส. นำเช็คมาจดวันเดือนปีที่ออกเช็คแล้วมอบให้แก่โจทก์หลังจากที่จำเลยที่ 1 ออกเช็คให้แล้วเป็นเวลานานกว่า13 ปี เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้ยินยอมให้ ส. ทำเช่นนั้น จะถือว่าส. ได้จดวันเดือนปีที่ออกเช็คโดยสุจริตหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขายานนาวา ลงวันที่ 16 เมษายน 2529 เงินจำนวน 50,000 บาทที่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย และจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังโดยผู้มีชื่อนำมามอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำเรียกเก็บเงินจากธนาคารไม่ได้ เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทโดยไม่ได้ลงวันที่ให้แก่ผู้มีชื่อตามฟ้องมาตั้งแต่ปี 2516 โดยผู้มีชื่อได้ขอยืมไปใช้ชั่วคราวแล้วจะนำมาคืนให้จำเลยโดยไม่ให้เดือดร้อนเสียหายส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังเช็คพิพาท ต่อมาผู้มีชื่อโอนเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ด้วย การคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยทั้งสองโดยกรอกวันเดือน ปี ที่สั่งจ่ายลงไปโดยไม่สุจริต เพื่อหาเหตุมาฟ้องจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสองชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขายานนาวา ที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่ายเงินจำนวน 50,000 บาทให้แก่ผู้ถือและจำเลยที่ 2เป็นผู้สลักหลังโดยไม่ได้ลงวันเดือนปีที่สั่งจ่ายไว้ ต่อมาจำเลยที่ 1 มอบเช็คพิพาทให้แก่นางสิฐิณา นางสิฐิณาได้นำเช็คพิพาทไปจดวันเดือนปีที่สั่งจ่ายเป็นวันที่ 16 เมษายน 2529 แล้วมอบเช็คให้แก่โจทก์ เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนดโจทก์นำเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างเหตุว่าบัญชีปิดแล้ว โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดคดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองจะต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า โจทก์เป็นทนายความของนางสิฐิณามาตั้งแต่ปี 2528 เมื่อเดือนเมษายน 2529 นางสิฐิณาได้นำเช็คพิพาทมาชำระหนี้ค่าว่าความให้แก่โจทก์ เช็คพิพาทดังกล่าวออกใช้ตั้งแต่ปี 2516 โดยดูจากตราที่ประทับบนแสตมป์ในเช็คเมื่อโจทก์ได้รับเช็คพิพาทแล้วตรวจดูวันที่ที่ปรากฎบนเช็คไม่ได้ตรวจดูว่านางสิฐิณาเป็นผู้สั่งจ่ายหรือไม่จึงไม่ได้ให้นางสิฐิณาสลักหลังเช็คไว้จนบัดนี้โจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ค่าว่าความเพราะหลักฐานแห่งการเป็นหนี้ระหว่างโจทก์และนางสิฐิณาไม่มีหากไม่มีนางสิฐิณาสลักหลังเช็คพิพาทโจทก์ก็จะฟ้องนางสิฐิณาได้และโจทก์มีนางสิฐิณาเป็นพยานเบิกความว่า นางสิฐิณาทำงานอยู่ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด มาตั้งแต่ปี 2510 ลาออกเมื่อปี 2522แล้วมาประกอบการค้าขายที่ดิน ระหว่างทำงานอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารฝ่ายประนอมหนี้เป็นระยะเวลาที่จำเลยที่ 1 มาติดต่อเพื่อจะจำนองที่ดิน เช็คพิพาทจำเลยที่ 1 นำมาชำระหนี้เงินกู้ให้เมื่อปี 2527 แล้วนางสิฐิณาเก็บไว้ในกระเป๋า ต่อมาเช็คพิพาทหายไปเพิ่งค้นพบเมื่อปี 2529 จึงนำไปสอบถามพนักงานธนาคารว่ามีมูลหนี้หรือไม่ พนักงานธนาคารว่ามีมูลหนี้ นางสิฐิณาจึงให้พนักงานธนาคารลงวันเดือนปีที่สั่งจ่ายแล้วนำไปชำระให้แก่โจทก์เป็นค่าว่าความพยานโจทก์ดังกล่าวนี้เห็นว่า นางสิฐิณาเป็นพนักงานของธนาคารกรุงเทพ จำกัด มาก่อน เมื่อนางสิฐิณาลาออกจากธนาคารก็ยังประกอบการค้าที่ดิน นางสิฐิณาจึงต้องมีความรู้ในเรื่องเช็คดีหากจำเลยที่ 1 นำเช็คพิพาทที่ไม่ได้ลงวันเดือนปีที่สั่งจ่ายมาชำระหนี้ให้ นางสิฐิณาก็ควรจะให้จำเลยที่ 1 ลงวันเดือนปีที่สั่งจ่ายให้เรียบร้อยสมบูรณ์ก่อนรับไว้ หรือมิฉะนั้นอาจจะลงวันเดือนปีลงไปโดยให้จำเลยที่ 1 รับรู้ยินยอมแล้วนำเช็คพิพาทเรียกเก็บเงินจากธนาคารทันที แต่ปรากฏว่านางสิฐิณาเก็บเช็คพิพาทไว้ในกระเป๋าโดยไม่สนใจจนเช็คพิพาทหายไป นอกจากนี้หากจำเลยที่ 1นำมาชำระหนี้ให้นางสิฐิณาในปี 2527 และนางสิฐิณาค้นพบเช็คพิพาทเมื่อปี 2529 จริง นางสิฐิณาไม่จำเป็นที่จะต้องนำเช็คพิพาทไปถามพนักงานของธนาคารว่าเช็คมีมูลหนี้อีกหรือไม่เพราะตนเองย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าเช็คพิพาทมีมูลหนี้กันจริงหรือไม่คำเบิกความของนางสิฐิณาจึงมีพิรุธไม่อาจจะรับฟังได้ ข้อเท็จจริงจึงเชื่อได้ตามพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยที่ 1ออกเช็คพิพาทให้แก่นางสิฐิณา เมื่อปี 2516 ขณะที่จำเลยที่ 1ติดต่อกับนางสิฐิณาเพื่อที่จะกู้เบิกเงินจากธนาคารโดยไม่ได้ลงวันเดือนปีที่สั่งจ่ายไว้ ต่อมาเมื่อปี 2529 นางสิฐิณาจึงนำเช็คพิพาทมาจดวันเดือนปีที่สั่งจ่ายลงไปแล้วมอบให้แก่โจทก์ หลังจากที่จำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทให้แล้วเป็นเวลานานกว่า 13 ปี การที่นางสิฐิณาจดวันที่ลงในเช็คพิพาทของจำเลย จึงไม่ใช่วันที่ถูกต้องแท้จริง เมื่อไม่ปรากฏจากพยานหลักฐานของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1ได้ยินยอมให้นางสิฐิณาทำเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้จะถือว่านางสิฐิณาได้จดวันเดือนปีที่ออกเช็คพิพาทโดยสุจริตหาได้ไม่ ปัญหาที่จะต้องพิจารณาต่อไปจึงมีว่านางสิฐิณาได้โอนเช็คพิพาทให้โจทก์ด้วยการคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีอาชีพเป็นทนายความ หากได้รับเช็คพิพาทจากนางสิฐิณาเป็นค่าว่าความจริงโจทก์จะต้องทราบทันทีว่าเช็คพิพาทผู้สั่งจ่ายเช็คมิได้ลงวันเดือนปีที่สั่งจ่ายเอาไว้เพราะทั้งลายมือและสีของน้ำหมึกที่จดวันเดือนปีที่สั่งจ่ายเช็คพิพาทแตกต่างจากลายมือและสีของน้ำหมึกของผู้สั่งจ่ายอย่างเห็นได้ชัด ทั้งโจทก์จะต้องทราบข้อกฎหมายว่าผู้ที่จะจดวันเดือนปีที่ออกเช็คพิพาทที่ไม่ได้ลงวันเดือนปีที่สั่งจ่ายได้จะต้องกระทำโดยสุจริตและจดลงตามวันที่ถูกต้องแท้จริงโดยเฉพาะเช็คพิพาทโจทก์ก็ทราบว่าเป็นเช็คที่ได้ออกใช้ตั้งแต่ปี 2516การที่โจทก์ไม่สงสัยว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่ใครเป็นผู้สั่งจ่ายและผู้จดวันที่สั่งจ่ายเป็นใครนั้น นับว่าเป็นความผิดปกติวิสัยของโจทก์ซึ่งมีอาชีพเป็นทนายความอย่างมาก ศาลฎีกาจึงไม่เชื่อว่าโจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาจากนางสิฐิณาโดยไม่ทราบว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่นางสิฐิณามาลงวันเดือนปีที่สั่งจ่ายเองหลังจากที่ได้รับมอบเช็คมาจากจำเลยที่ 1 นานกว่า 13 ปีแล้ว การที่โจทก์รับเช็คพิพาทจากนางสิฐิณาไว้โดยรู้ว่าเป็นเช็คที่จำเลยออกมานานกว่า 10 ปีแล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์ไม่สุจริตคบคิดกับนางสิฐิณาฉ้อฉลจำเลยทั้งสอง กรณีเช่นนี้จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายและสลักหลังเช็คพิพาทจึงหาจำต้องรับผิดชดใช้เงินตามเช็คให้แก่โจทก์ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share