แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันพิพาทพร้อมตัวถังและอุปกรณ์ตามฟ้องหรือไม่คดีย่อมมีประเด็นที่ศาลจะวินิจฉัยแต่เพียงว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกคันพิพาทโดยซื้อมาจากเจ้าของที่แท้จริงหรือไม่ การที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์ซื้อมาจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็น
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ขายมิใช่เจ้าของที่แท้จริง แม้โจทก์จะรับซื้อไว้โดยสุจริตโจทก์ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ เพราะผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนผู้เป็นเจ้าของย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 การที่เจ้าของและเจ้าพนักงานยึดรถยนต์บรรทุกคันพิพาทคืนจากโจทก์ จึงไม่เป็นการละเมิด
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกซึ่งไม่มีตัวถัง แต่โจทก์เป็นผู้ว่าจ้างให้ต่อตัวถังขึ้น ตัวรถยนต์บรรทุกถือได้ว่าเป็นทรัพย์ประธาน จำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าของทรัพย์ที่รวมเข้ากันนั้นแต่ผู้เดียว เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยชดใช้ราคารถยนต์บรรทุกทั้งคันอันเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์เป็นของตนทั้งหมดแต่ทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่ง ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับแต่ส่วนแบ่งคือค่าต่อตัวถังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(2)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุก หมายเลขทะเบียน ส.บ.๒๐๘๒๙ โดยซื้อมาจากนายมานะชัย รัตตพงษ์ โจทก์ได้ว่าจ้างให้ประกอบตัวถังเป็นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท ต่อมาจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันยึดรถยนต์ดังกล่าวไปจากโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ค่าเบี้ยประกันและค่าภาษีแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์และนายมานะชัยมิใช่เจ้าของรถยนต์ตามฟ้อง จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของได้ให้นายเลย สอนใจ ทำสัญญาซื้อขายแบบเงื่อนไขโดยกรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปยังผู้ซื้อ นายเลยได้ยักยอกรถยนต์เป็นของตนจำเลยที่ ๑ ได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ปรากฏว่านายเลยได้ร่วมกับพวกปลอมหมายเลขเครื่องขึ้นใหม่แล้วนำไปจดทะเบียนขายให้โจทก์โดยทุจริตจำเลยทั้งสามจึงยึดรถยนต์มาจากโจทก์ จำเลยทั้งสามมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อหนึ่งว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ส.บ.๒๐๘๒๙ พร้อมตัวถังและอุปกรณ์ตามฟ้องหรือไม่แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ซื้อรถยนต์บรรทุกคันพิพาทจากร้านค้ารถยนต์ และได้โอนทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายโดยโจทก์สุจริตและเสียค่าตอบแทน จำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิเอารถยนต์บรรทุกคืนจากโจทก์ นอกจากจะชดใช้ราคาให้โจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการละเมิดต่อโจทก์ พิพากษาให้จำเลยทั้งสามคืนรถยนต์หรือชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า กรณีไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๒ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนอกประเด็น จำเลยทั้งสามมีสิทธิยึดรถยนต์บรรทุกคันพิพาทคืนจากโจทก์ ไม่เป็นการละเมิด แต่ต้องชดใช้ค่าตัวถังโดยหักค่าเสื่อมประมาณสิบเปอร์เซ็นต์ให้แก่โจทก์ พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินค่าตัวถังแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ว่า ศาลชั้นต้นมีอำนาจวินิจฉัยว่าโจทก์ซื้อรถยนต์คันพิพาทมาจากนายมานะชัย รัตตพงษ์ ซึ่งเป็นพ่อค้าผู้ขายของชนิดดังกล่าวได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น และโจทก์ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๒ ว่า ตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์คันพิพาทโดยซื้อมาจากนายมานะชัยรัตตพงษ์ และศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาทพร้อมตัวถังและอุปกรณ์ตามฟ้องหรือไม่ คดีย่อมมีประเด็นที่ศาลย่อมมีประเด็นที่ศาลจะวินิจฉัยแต่เพียงว่าโจทก์เป็นเจ้าของของกรรมสิทธิ์รถยนต์คันพิพาทโดยซื้อมาจากเจ้าของที่แท้จริงหรือไม่ หากผู้ขายรถยนต์คันพิพาทให้โจทก์มิใช่เจ้าของที่แท้จริง โจทก์ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์เพราะผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน การที่โจทก์นำสืบว่านายมานะชัย รัตตพงษ์ ผู้ขายรถยนต์คันพิพาทให้โจทก์เป็นพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น และโจทก์ได้รับคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๒ ก็เท่ากับนำสืบว่า โจทก์เป็นผู้รับโอนซึ่งมีสิทธิดีกว่าผู้โอน กล่าวคือ แม้ผู้โอนไม่มีสิทธิโอนเพราะไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง โจทก์ก็มีสิทธิไม่ต้องคืนรถยนต์ให้แก่เจ้าของที่แท้จริง เว้นแต่จะได้รับชดใช้ราคาที่ซื้อมา จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นตามคำฟ้องและนอกประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ในการชี้สองสถาน ศาลจะรับวินิจฉัยหาได้ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ารถยนต์คันพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ ซึ่งถูกเบียดบังยักยอกไป ถึงแม้โจทก์จะรับซื้อไว้โดยสุจริต โจทก์ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๖ การที่จำเลยทั้งสามยึดรถยนต์คันพิพาทมาจากโจทก์ จึงไม่เป็นการละเมิด โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกรถยนต์คืนหรือให้ชดใช้ราคาและเรียกร้องค่าเสียหาย
ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าต่อตัวถังรถยนต์คันพิพาทให้โจทก์เป็นเงิน ๗๒,๐๐๐ บาท เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกไปจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ หรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์บรรยายไว้โดยชัดแจ้งว่า โจทก์ซื้อรถยนต์คันพิพาทมาในราคา ๒๓๐,๐๐๐ บาท และได้ว่าจ้างให้ประกอบตัวถังสิ้นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท ถ้าจำเลยไม่สามารถคืนรถยนต์ได้ ก็ให้ใช้ราคารวมทั้งค่าเบี้ยประกันภัยและค่าภาษีตามฟ้องเป็นเงิน ๓๒๔,๒๖๕ บาท ๘๕ สตางค์ แก่โจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาทโดยไม่มีตัวถังและโจทก์เป็นผู้ว่าจ้างให้ต่อตัวถังขึ้น กรณีจึงเป็นการเอาอสังหาริมทรัพย์ของบุคคลหลายคนมารวมเข้ากันจนเป็นส่วนควบหรือแบ่งแยกไม่ได้ตัวรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ถือได้ว่าของจำเลยที่ ๑ ถือได้ว่าเป็นทรัพย์ประธานจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์ประธานจึงเป็นของทรัพย์ที่รวมเข้านั้นแต่ผู้เดียวแต่ต้องใช้ค่าแห่งทรัพย์อื่น ๆ ให้แก่เจ้าของทรัพย์นั้น ๆ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๑๖ วรรคสอง แม้โจทก์จะมิได้ฟ้องเรียกค่าตัวถังรถยนต์จากจำเลย แต่โจทก์ก็ฟ้องให้จำเลยชดใช้ราคารถยนต์ทั้งคันอันเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์เป็นของตนทั้งหมด เมื่อพิจารณาได้ความว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่งศาลก็ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับแต่ส่วนแบ่งนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒(๒) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ใช้ค่าตัวถังรถยนต์คันพิพาทให้แก่โจทก์ จึงหาเป็นการพิจารณาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏให้คำฟ้องแต่อย่างใดไม่
ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า โจทก์ได้รถยนต์คันพิพาทมาโดยไม่สุจริต การที่โจทก์นำรถยนต์มาต่อตัวถังจึงเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๑ มิได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งอย่างใดที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้รถยนต์คันพิพาทมาโดยไม่สุจริต ถึงแม้รถยนต์คันพิพาทจะเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยการกระทำความผิด แต่โจทก์ก็มิได้ร่วมกระทำความผิดหรือมีส่วนรู้เห็นด้วย จึงไม่มีข้อเท็จจริงอย่างใดที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่สุจริต และไม่มีอำนาจฟ้องดังที่จำเลยที่ ๑ ฎีกา
พิพากษายืน