คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7352/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ตาม พร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 มาตรา 11 จะกำหนดให้ผู้ช่วยผู้พิพากษาเป็นข้าราชการฝ่ายตุลาการก็ตาม แต่ไม่ถือว่าผู้ช่วยผู้พิพากษาเป็นผู้พิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ทั้งพระธรรมนูญศาลยุติธรรมก็มิได้กล่าวถึงอำนาจหน้าที่ของผู้ช่วยผู้พิพากษาไว้เลย เมื่อผู้ช่วยผู้พิพากษาไม่มีอำนาจพิจารณาคดีแล้ว พ. และ ส. ซึ่งได้ความว่าเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาในขณะออกนั่งพิจารณาคดีนี้ จึงไม่มีอำนาจพิจารณาสั่งคำร้องที่ขอให้รับรองอุทธรณ์ของโจทก์ว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์หรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นไม่ส่งคำร้องของโจทก์ให้ พ. และ ส. พิจารณาสั่งจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายสิ่งของออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 489 ตำบลดินแดง อำเภอดินแดง กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นของโจทก์ เฉพาะส่วนที่รุกล้ำ กับให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมทั้งขนย้ายสิ่งของออกไปจากตึกแถวเลขที่ 505 ถนนสุทธิสารแยก 1 แขวงดินแดง (เดิมแขวงห้วยขวาง) เขตดินแดง (เดิมเขตห้วยขวาง) กรุงเทมหานคร ซึ่งเป็นของโจทก์ ให้จำเลยชดใช้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้ที่ดินเป็นเงินเดือนละ 2,245 บาท นับจากวันที่โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน (วันที่ 14 มิถุนายน 2544) เป็นต้นไป คิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 20,212 บาท ชดใช้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้ตึกแถวเลขที่ 505 เป็นเงินเดือนละ 8,000 บาท นับจากวันที่จำเลยได้รับการบอกเลิกสัญญาเช่าจากโจทก์เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบตึกแถวดังกล่าวโจทก์ คิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 16,000 บาท และชำระค่าเช่าที่ค้างชำระรวมเป็นเงิน 1,500 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นไม่รับรองให้อุทธรณ์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ยื่นอุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีนี้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนี้ยกเว้นนายพิชัยและนายพิสิษฐ์ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาได้พิจารณาคำร้องแล้วมีคำสั่งไม่รับรองให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์จึงอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น ดังนี้ สำหรับที่โจทก์อุทธรณ์คำสั่งขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลชั้นต้นและให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณานั้น เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องซึ่งมีความหมายเท่ากับว่ามีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ คำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในปัญหานี้ คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่ส่งคำร้องของโจทก์ไปให้นายพิชัย และนายพิสิษฐ์ พิจารณาสั่งเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบหรือไม่ เห็นว่า แม้ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 มาตรา 11 จะกำหนดให้ผู้ช่วยผู้พิพากษาเป็นข้าราชการฝ่ายตุลาการก็ตาม แต่ไม่ถือว่าผู้ช่วยผู้พิพากษาเป็นผู้พิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ทั้งพระธรรมนูญศาลยุติธรรมก็มิได้กล่าวถึงอำนาจหน้าที่ของผู้ช่วยผู้พิพากษาไว้เลย เมื่อผู้ช่วยผู้พิพากษาไม่มีอำนาจพิจารณาคดีแล้ว นายพิชัย และ นายพิสิษฐ์ ซึ่งได้ความว่าเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาในขณะออกนั่งพิจารณาคดีนี้ จึงไม่มีอำนาจพิจารณาสั่งคำร้องที่ขอให้รับรองอุทธรณ์ของโจทก์ว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์หรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นไม่ส่งคำร้องของโจทก์ให้นายพิชัย และนายพิสิษฐ์ พิจารณาสั่งจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง โจทก์ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ จึงเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ (2) ก แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์ จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์
พิพากษายืน แต่ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินมาแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ.

Share