คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2162/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลแรงงานกลางพิจารณาพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้วเห็นว่าสหภาพแรงงาน อ. จัดประชุมแต่งตั้งโจทก์และ ย. เป็นกรรมการลูกจ้าง โดยขณะที่จัดให้มีการประชุมนั้น ธ. ในฐานะประธานสหภาพแรงงานดังกล่าวทราบดีอยู่แล้วว่าโจทก์และ ย. มีเหตุทะเลาะวิวาทกันในที่ทำงานและในเวลาทำงาน โจทก์ถูกพักงานระหว่างสอบสวน แต่สหภาพแรงงานยังแต่งตั้งโจทก์และ ย. เป็นกรรมการลูกจ้าง ทั้งที่ย่อมคาดหมายได้ว่าโจทก์กับ ย. จะถูกจำเลยเลิกจ้าง การประชุมของสหภาพแรงงานดังกล่าวจัดให้มีขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2547 เวลาประมาณเที่ยงคืน ที่หน้าบ้านพักของ ธ. ไม่จัดให้เป็นกิจจะลักษณะ พฤติการณ์ทั้งหลายส่อให้เห็นถึงความไม่สุจริตในการแสวงหาประโยชน์โดยอาศัยบทบัญญัติแห่งกฎหมายอย่างผิดทำนองคลองธรรม ขัดต่อวัตถุประสงค์ของกฎหมาย โจทก์อาศัยเหตุดังกล่าวเป็นมูลฟ้องร้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเป็นการวินิจฉัยไปถึงอำนาจฟ้องของโจทก์อันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ ศาลแรงงานกลางก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาคดีได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31
บทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 52 ที่ว่า ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้าง ลดค่าจ้าง ลงโทษ ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการลูกจ้าง หรือกระทำการใด ๆ อันอาจเป็นผลให้กรรมการลูกจ้างไม่สามารถทนทำงานอยู่ต่อไปได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน เป็นบทบัญญัติที่มีวัตถุประสงค์คุ้มครองกรรมการลูกจ้างในบางกรณีอาจเป็นการขัดต่อผลประโยชน์ของนายจ้าง นายจ้างจึงไม่อาจพอใจและกลั่นแกล้งกรรมการลูกจ้างได้ การที่นายจ้างจะเลิกจ้าง ลดค่าจ้าง ลงโทษ ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการลูกจ้าง หรือกระทำการใด ๆ อันอาจเป็นผลให้กรรมการลูกจ้างไม่สามารถทำงานอยู่ต่อไปได้ จึงจำต้องได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานเพื่อให้ศาลแรงงานตรวจสอบเสียก่อนว่านายจ้างมีเหตุผลสมควรที่จะกระทำการดังกล่าวนั้นหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์กับ ย. มีเหตุทะเลาะวิวาทกันในที่ทำงานและในเวลาทำงาน จำเลยแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนและระหว่างสอบสวนโจทก์ถูกพักงาน โดยขณะนั้นโจทก์ยังมิได้รับการแต่งตั้งในเป็นกรรมการลูกจ้าง ทั้งจำเลยเลิกจ้างโจทก์ในขณะที่ยังไม่ทราบว่าโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้าง การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงมิได้เป็นเพราะจำเลยไม่พอใจการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ในฐานะที่เป็นกรรมการลูกจ้างหรือไม่พอใจเนื่องจากโจทก์ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการลูกจ้าง ยิ่งไปกว่านั้นในขณะจัดให้มีการประชุมเพื่อแต่งตั้งโจทก์กับ ย. เป็นกรรมการลูกจ้างนั้น ธ. ในฐานะประธานสหภาพแรงงาน อ. ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยแต่งตั้งกรรมการเพื่อสอบสวนและโจทก์ถูกพักงานระหว่างสอบสวน แต่สหภาพแรงงาน อ. ก็ยังแต่งตั้งโจทก์กับ ย. เป็นกรรมการลูกจ้างทั้งที่ย่อมเป็นที่คาดหมายได้ว่าโจทก์กับ ย. จะถูกจำเลยเลิกจ้าง โดยการประชุมก็จัดขึ้นอย่างเร่งด่วนและมิได้จัดขึ้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เมื่อพฤติการณ์ทั้งหลายส่อให้เห็นถึงความไม่สุจริตในการแสวงหาประโยชน์โดยอาศัยบทบัญญัติแห่งกฎหมายอย่างผิดทำนองคลองธรรมและขัดต่อวัตถุประสงค์ของกฎหมาย ซึ่งโจทก์ก็อาศัยเหตุนี้มาเป็นมูลฟ้องร้องจำเลยอันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเช่นนี้ โจทก์จึงไม่อาจอาศัยเหตุแห่งการเป็นกรรมการลูกจ้างมาขอความคุ้มครองจากศาลแรงงานกลางเพื่อให้ศาลแรงงานกลางเพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างกับให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานและชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างของจำเลย ให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานโดยให้ได้รับค่าจ้าง สภาพการจ้างและสวัสดิการเดิมทุกประการ รวมทั้งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 5,000 บาท แก่โจทก์ กับค่าเสียหายอีกวันละ 200 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรับโจทก์กลับเข้าทำงาน
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ทำหน้าที่พนักงานควบคุมคุณภาพสินค้า ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 6,000 บาท ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมีคำสั่งให้เลิกจ้างลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2547 สหภาพแรงงานโออิชินวนครได้จัดประชุมแต่งตั้งโจทก์กับนายยงยุทธเป็นกรรมการลูกจ้างเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2547 ขณะที่จัดให้มีการประชุมเพื่อแต่งตั้งโจทก์กับนายยงยุทธเป็นกรรมการลูกจ้างนั้น นายธวัชในฐานะประธานสหภาพแรงงานโออิชินวนครทราบดีอยู่แล้วว่าโจทก์กับนายยงยุทธมีเหตุทะเลาะวิวาทกันในที่ทำงานและในเวลาทำงาน จำเลยแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนและในระหว่างสอบสวนนี้โจทก์ถูกจำเลยพักงาน แต่สหภาพแรงงานโออิชินวนครก็ยังแต่งตั้งโจทก์กับนายยงยุทธเป็นกรรมการลูกจ้าง ทั้งที่ย่อมเป็นที่คาดหมายได้อยู่แล้วว่าโจทก์กับนายยงยุทธจะถูกจำเลยเลิกจ้าง นอกจากนี้การประชุมของสหภาพแรงงานดังกล่าวจัดให้มีขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2547 เวลาประมาณเที่ยงคืน ที่หน้าบ้านพักของนายธวัชนับเป็นพิรุธ เพราะไม่ปรากฏว่ามีเหตุจำเป็นเร่งด่วนอย่างไรที่จะต้องจัดประชุมในเวลาและสถานที่เช่นนั้น อีกทั้งการจัดประชุมก็ไม่ปรากฏว่าได้จัดให้มีขึ้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะ จำเลยไม่ทราบว่าโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างมาก่อน เพิ่งจะมาทราบจากตัวโจทก์ภายหลังจำเลยเลิกจ้างโจทก์แล้ว พฤติการณ์ทั้งหลายส่อให้เห็นถึงความไม่สุจริตในการแสวงหาประโยชน์โดยอาศัยบทบัญญัติแห่งกฎหมายอย่างผิดทำนองคลองธรรมและขัดต่อวัตถุประสงค์ของกฎหมาย ซึ่งโจทก์ก็อาศัยเหตุนี้มาเป็นมูลฟ้องร้องจำเลย การใช้สิทธิของโจทก์จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องร้องให้จำเลยรับผิดได้ จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย โดยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ก่อนเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น จึงเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลแรงงานกลางพิจารณาจากพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้วเห็นว่า สหภาพแรงงานโออิชินวนครจัดประชุมแต่งตั้งโจทก์และนายยงยุทธเป็นกรรมการลูกจ้าง โดยในขณะที่จัดให้มีการประชุมนั้นนายธวัชในฐานะประธานสหภาพดังกล่าวก็ทราบดีอยู่แล้วว่าโจทก์กับนายยงยุทธมีเหตุทะเลาะวิวาทกันในที่ทำงานและในเวลาทำงาน โจทก์ถูกจำเลยพักงานในระหว่างสอบสวน แต่สหภาพแรงงานยังแต่งตั้งโจทก์กับนายยงยุทธเป็นกรรมการลูกจ้าง ทั้งที่ย่อมคาดหมายได้อยู่แล้วว่าโจทก์กับนายยงยุทธจะถูกจำเลยเลิกจ้าง การประชุมของสหภาพแรงงานดังกล่าวจัดให้มีขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2547 เวลาประมาณเที่ยงคืน ที่หน้าบ้านพักของนายธวัช ไม่จัดให้เป็นกิจจะลักษณะ พฤติการณ์ทั้งหลายส่อให้เห็นถึงความไม่สุจริตในการแสวงหาประโยชน์โดยอาศัยบทบัญญัติแห่งกฎหมายอย่างผิดทำนองคลองธรรม ขัดต่อวัตถุประสงค์ของกฎหมาย โจทก์อาศัยเหตุดังกล่าวเป็นมูลฟ้องร้องจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เป็นการวินิจฉัยไปถึงอำนาจฟ้องของโจทก์อันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลแรงงานกลางจึงมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาคดีไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 หาเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบไม่
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 52 ที่ว่า ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน เป็นกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย จำเลยจึงต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด แม้จำเลยจะทราบว่าโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างหลังจากจำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์แล้ว การเลิกจ้างโดยมิได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานก่อนก็ย่อมไม่มีผลเป็นการเลิกจ้าง สมควรเพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างดังกล่าวและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายตามคำขอของโจทก์นั้น เห็นว่า บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 52 ที่ว่า ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้าง ลดค่าจ้าง ลงโทษ ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการลูกจ้าง หรือกระทำการใด ๆ อันอาจเป็นผลให้กรรมการลูกจ้างไม่สามารถทำงานอยู่ต่อไปได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน เป็นบทบัญญัติที่มีวัตถุประสงค์ที่จะคุ้มครองกรรมการลูกจ้างเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการลูกจ้างในบางกรณีอาจเป็นการขัดต่อผลประโยชน์ของนายจ้าง นายจ้างจึงอาจไม่พอใจและกลั่นแกล้งกรรมการลูกจ้างได้ การที่นายจ้างจะเลิกจ้าง ลดค่าจ้าง ลงโทษ ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการลูกจ้างหรือกระทำการใด ๆ อันเป็นผลให้กรรมการลูกจ้างไม่สามารถทำงานอยู่ต่อไปได้ จึงจำต้องได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานเพื่อให้ศาลแรงงานตรวจสอบเสียก่อนว่านายจ้างมีเหตุผลสมควรที่จะกระทำการดังกล่าวนั้นหรือไม่ เมื่อคดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์กับนายยงยุทธมีเหตุทะเลาะวิวาทกันในที่ทำงานและในเวลาทำงาน จำเลยแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนและในระหว่างสอบสวนโจทก์ถูกจำเลยพักงาน โดยในขณะนั้นโจทก์ยังมิได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการลูกจ้าง ทั้งจำเลยเลิกจ้างโจทก์ในขณะที่ยังไม่ทราบว่าโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้าง การที่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างโจทก์จึงมิได้เป็นเพราะจำเลยไม่พอใจการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ในฐานะที่เป็นกรรมการลูกจ้างหรือไม่พอใจเนื่องจากโจทก์ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการลูกจ้างซึ่งกฎหมายมุ่งที่จะคุ้มครองกรรมการลูกจ้างแต่ประการใด ยิ่งไปกว่านั้นในขณะจัดให้มีการประชุมเพื่อแต่งตั้งโจทก์กับนายยงยุทธเป็นกรรรมการลูกจ้างนั้น นายธวัชในฐานะประธานสหภาพแรงงานโออิชินวนครก็ทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยตั้งกรรมการเพื่อสอบสวน และโจทก์ถูกพักงานในระหว่างสอบสวน แต่สหภาพแรงงานโออิชินวนครก็ยังแต่งตั้งโจทก์กับนายยงยุทธเป็นกรรมการลูกจ้างทั้งที่ย่อมเป็นที่คาดหมายได้อยู่แล้วว่าโจทก์กับนายยงยุทธจะถูกจำเลยเลิกจ้าง โดยการประชุมก็จัดขึ้นอย่างเร่งด่วนและมิได้จัดขึ้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เมื่อพฤติการณ์ทั้งหลายส่อให้เห็นถึงความไม่สุจริตในการแสวงหาประโยชน์โดยอาศัยบทบัญญัติแห่งกฎหมายอย่างผิดทำนองคลองธรรมและขัดต่อวัตถุประสงค์ของกฎหมาย ซึ่งโจทก์ก็อาศัยเหตุนี้มาเป็นมูลฟ้องร้องจำเลยอันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเช่นนี้ โจทก์จึงไม่อาจอ้างเหตุแห่งการเป็นกรรมการลูกจ้างมาขอความคุ้มครองจากศาลแรงงานกลางเพื่อให้ศาลแรงงานกลางเพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างดังกล่าวกับให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานและชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ได้ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share