แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยบอกขายถังน้ำมันของกลาง ซึ่งวางอยู่ในที่ดินของผู้อื่นให้แก่ผู้ซื้อ โดยแจ้งแก่ผู้ซื้อว่าถังน้ำมันของกลางเป็นของจำเลย แต่ความจริงเป็นของผู้เสียหาย ผู้ซื้อตกลงซื้อถังน้ำมันของกลางแล้วได้ว่าจ้าง ส. ให้ขนถังน้ำมันของกลางไปไว้ที่สถานีบริการน้ำมันของผู้ซื้อ หลังจากนั้นผู้ซื้อจึงชำระราคาให้แก่จำเลย โดยผู้เสียหายมิได้ยินยอมด้วยแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยเป็นการเอาไปซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นโดยทุจริตแล้ว จึงมีความผิดฐานลักทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 1,060,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 335 (1) วรรคแรก จำคุก 3 ปี ให้จำเลยคืนถังน้ำมันขนาด 1,500 ลิตร 2 ใบ ที่จำเลยลักไป หรือใช้ราคาจำนวน 300,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลย มีว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนางปรียา ผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า ผู้เสียหายซื้อถังน้ำมัน 6 ใบ กับถังน้ำ 1 ใบ จากบริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เพื่อใช้ในการประกอบกิจการจำหน่ายน้ำมัน แต่ประสบปัญหาทางการเงินไม่สามารถก่อสร้างสถานีบริการน้ำมันให้แล้วเสร็จได้ จึงได้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างยกเว้นถังน้ำมันกับถังน้ำดังกล่าวให้แก่นายมุ่งมาด และนายประเวศ ต่อมากลางเดือนพฤษภาคม 2541 ปรากฏว่ามีคนร้ายลักเอาถังน้ำมันกับถังน้ำของผู้เสียหายไป กับมีนายน้อม เป็นพยานเบิกความว่า ประมาณเดือนมีนาคม 2541 นายจำลองซึ่งรับจ้างก่อสร้างสถานีบริการน้ำมันให้พยานบอกแก่พยานว่ามีคนจะขายถังน้ำมันและพาพยานไปดูถังน้ำมันดังกล่าว ซึ่งอยู่ในบริเวณที่มีการก่อสร้างสถานีบริการน้ำมันที่บ้านทุ่งผีปั้นรูป อำเภอป่าบอน จังหวัดพัทลุง หลังจากนั้นอีกประมาณ 1 เดือน จำเลยมาพบพยานบอกพยานว่าถังน้ำมันดังกล่าวเป็นของจำเลยและเสนอขายให้แก่พยาน พยานตกลงซื้อ 2 ใบ ในราคา 35,000 บาท ต่อมาผู้เสียหายมาพบพยานแจ้งแก่พยานว่าถังน้ำมันดังกล่าวเป็นของผู้เสียหาย เห็นว่า พยานโจทก์ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย ไม่มีข้อระแวงว่าจะกลั่นแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยเชื่อว่าเบิกความตามความจริง ที่จำเลยฎีกาว่า ถังน้ำมันดังกล่าวมีราคา 300,000 บาท นายน้อมเบิกความว่าซื้อมาในราคา 35,000 บาท เป็นพิรุธนั้น เห็นว่า การลักลอบเอาทรัพย์สินของผู้อื่นมาขายย่อมต้องการขายให้ได้โดยเร็ว โดยไม่คำนึงถึงราคาที่แท้จริงมากนักคำเบิกความของนายน้อมไม่เป็นพิรุธ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง จำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างข้อเท็จจริงนี้ โดยนำสืบแต่เพียงว่าผู้เสียหายขายที่ดินที่ก่อสร้างสถานีบริการน้ำมันรวมทั้งถังน้ำมันให้แก่นายมุ่งมาดไปแล้ว เห็นว่า หากเป็นเช่นนั้นจริง นายมุ่งมาดก็น่าจะเป็นผู้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนเพื่อติดตามจับกุมคนร้ายและติดตามเอาทรัพย์คืน แต่นายมุ่งมาดพยานจำเลยเองเบิกความว่า พยานมิได้ไปแจ้งความแต่อย่างใด พยานหลักฐานของจำเลยขัดเหตุผลไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ ศาลฎีกาเชื่อว่าถังน้ำมันดังกล่าวเป็นของผู้เสียหาย และจำเลยนำไปขายให้แก่นายน้อม โดยผู้เสียหายมิได้ยินยอมเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต จึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 335 (1) นั้น เห็นว่าทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำความผิดในเวลากลางคืน จึงฟังว่าจำเลย เพียงแต่กระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 334 เท่านั้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 334 ลงโทษจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9.