คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7278-7279/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป่าช้าจีนบ้าบ๋าเป็นที่ดินที่ชาวจีนบ้าบ๋าหรือฮกเกี้ยนที่มาจากสาธารณรัฐสิงคโปร์ร่วมกันออกเงินซื้อมาก่อตั้งเป็นทรัสต์เพื่อใช้เป็นสถานที่ฝังศพของชาวจีนบ้าบ๋าหรือฮกเกี้ยน เมื่อทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าจัดตั้งขึ้นก่อน ป.พ.พ. บรรพ 6 มาตรา 1686 ประกาศใช้ย่อมมีผลใช้บังคับกันได้ต่อไปไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุด เว้นแต่ผู้รับประโยชน์ทุกคนตกลงให้เลิกกันเมื่อ ล ทรัสตีคนเดิมถึงแก่ความตาย ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการย่อมร้องขอต่อศาลให้ตั้งทรัสตีคนใหม่แทนเพื่อให้ทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋ามีผู้ดูแลจัดการได้ต่อไป
ผู้ร้องเป็นทายาทของ ต ชั้นหลานและศพของ ต ได้ฝังอยู่ในป่าช้าจีนบ้าบ๋า ซึ่งผู้ร้องและญาติได้มาเคารพกราบไหว้ตามประเพณี เมื่อที่ดินดังกล่าว ต ล และชาวจีนบ้าบ๋าหรือฮกเกี้ยนที่มาจากสาธารณรัฐสิงคโปร์ร่วมกันออกเงินซื้อมาจัดตั้งเป็นทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าเพื่อใช้เป็นสถานที่ฝังศพของชาวจีนบ้าบ๋าหรือฮกเกี้ยนมิใช่เพื่อชาวจีนกลุ่มอื่น ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะขอให้ศาลตั้งผู้ร้องเป็นทรัสตีของทรัสต์ป่าช้าบ้าบ๋าได้
ส่วนผู้คัดค้านที่ 3 เป็นชาวจีนแคะ แม้มีบิดาเลี้ยงเป็นชาวจีนบ้าบ๋าหรือฮกเกี้ยน ผู้คัดค้านที่ 3 ก็มิได้เกี่ยวข้องกับบิดาเลี้ยงทางสายโลหิต ย่อมไม่มีบรรพบุรุษฝังอยู่ในป่าช้าจีนบ้าบ๋า และเมื่อผู้คัดค้านที่ 3 เคยยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่า ผู้คัดค้านที่ 3 ครอบครองปรปักษ์ที่ดินป่าช้าจีนบ้าบ๋าซึ่งศาลฎีกาตัดสินว่า การดำเนินคดีของผู้คัดค้านที่ 3 กระทำโดยไม่สุจริต แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านที่ 3 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ก็ไม่อาจบังคับได้ ผู้คัดค้านที่ 3 ซึ่งเป็นคู่ความย่อมต้องผูกพันตามคำพิพากษาดังกล่าว ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 ดังนั้น ผู้คัดค้านที่ 3 จึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียในที่ดินที่จะขอให้ศาลตั้งผู้คัดค้านที่ 3 เป็นทรัสตีป่าช้าจีนบ้าบ๋าแทน ล ทรัสตีคนเดิม ปัญหาดังกล่าวแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกผู้ร้องสำนวนแรกว่า ผู้ร้อง เรียกผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 สำนวนแรก และผู้ร้องที่ 1 และที่ 2 สำนวนที่สองว่า ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 เรียกผู้คัดค้านที่ 3 สำนวนแรกและผู้คัดค้านสำนวนที่สองว่า ผู้คัดค้านที่ 3 และเรียกผู้ร้องสอดสำนวนแรกว่า ผู้ร้องสอด
สำนวนแรกผู้ร้องยื่นคำร้องขอ ขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นทรัสตีสืบต่อจากนายโลไกจ๋วยหรือโลไกจวยทรัสตีคนเดิมเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านที่ 3 ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้องและขอให้ศาลตั้งผู้คัดค้านที่ 3 เป็นทรัสตีสืบต่อจากนายโลไกจวยทรัสตีคนเดิม เพื่อจะได้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายต่อไป
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องสอดเป็นทรัสตีของทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋า
สำนวนที่สอง ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 เป็นทรัสตีของทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าแทนนายโลไกจวยทรัสตีคนเดิมซึ่งถึงแก่ความตาย เพื่อจะได้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายต่อไป
ผู้คันค้านที่ 3 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้ร้องสอดถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะผู้ร้องสอดออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องของผู้ร้องสำนวนคดีแรก (ที่ถูก ยกคำคัดค้านผู้คัดค้านที่ 3 สำนวนแรกด้วย) และยกคำร้องของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 สำนวนที่สอง เมื่อศาลยกคำร้องทั้งสองสำนวนแล้ว คำคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 ทั้งสองสำนวนจึงตกไป ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ร้องเป็นทรัสตีป่าช้าจีนบ้าบ๋าที่ดินโฉนดเลขที่ 496 ตำบลสาทร อำเภอสาทร (บางรัก) กรุงเทพมหานคร และให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ของทุกฝ่ายให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ที่ดินป่าช้าจีนบ้าบ๋าโฉนดเลขที่ 496 ตำบลสาทร อำเภอสาทร (บางรัก) กรุงเทพมหานคร (ปัจจุบันแขวงสาทร เขตสาทร กรุงเทพมหานคร) เนื้อที่ 5 ไร่ 3 งาน 11 ตารางวา(ที่ดิน) ได้ก่อตั้งเป็นทรัสต์ใช้ชื่อว่าป่าช้าจีนบ้าบ๋าโดยใช้เป็นสถานที่ฝังศพชาวจีนบ้าบ๋าหรือฮกเกี้ยนที่มาจากสาธารณรัฐสิงคโปร์เข้ามาอยู่ในประเทศไทยมีนายโลไกจวยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในหน้าที่ทรัสตีและที่ดินป่าช้าจีนบ้าบ๋าเป็นทรัสต์ที่ก่อตั้งขึ้นก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 เพื่อการกุศลสำหรับชาวจีนบ้าบ๋าหรือฮกเกี้ยนดังกล่าวไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด เมื่อปี 2470 นายโลไกจวยซึ่งเป็นทรัสตีได้เดินทางไปสาธารณรัฐสิงคโปร์และถึงแก่ความตายที่ประเทศดังกล่าว ต่อมาปี 2500 ได้มีการห้ามมิให้นำศพชาวจีนบ้าบ๋าหรือฮกเกี้ยนไปฝังในที่ดิน ปัจจุบันยังมีทายาทและญาติของผู้ตายซึ่งถูกฝังอยู่ในป่าช้าจีนบ้าบ๋ามากราบไหว้เคารพศพตามประเพณี นายเล็ก เป็นชาวจีนบ้าบ๋าหรือฮกเกี้ยนเป็นบิดาเลี้ยงของผู้คัดค้านที่ 3 ซึ่งเป็นชาวจีนแคะ
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยก่อนว่า ผู้คัดค้านที่ 3 มีส่วนได้เสียในการร้องขอเป็นทรัสตีของทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าหรือไม่ เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติ นายเล็ก ซึ่งเป็นชาวจีนบ้าบ๋าหรือฮกเกี้ยนเป็นบิดาเลี้ยงของผู้คัดค้านที่ 3 ระหว่างนายเล็กและผู้คัดค้านที่ 3 จึงมิได้มีการเกี่ยวข้องกันทางสืบสายโลหิต อีกทั้งที่ดินดังกล่าวชาวจีนบ้าบ๋าหรือฮกเกี้ยนที่มาจากสาธารณรัฐสิงคโปร์เข้ามาอยู่ในประเทศไทยร่วมกันซื้อมาก่อตั้งเป็นทรัสต์ เพื่อใช้เป็นสถานที่ฝังศพของชาวจีนบ้าบ๋าหรือฮกเกี้ยนดังกล่าวมิใช่เพื่อชาวจีนกลุ่มอื่น ฉะนั้น มารดาผู้คัดค้านที่ 3 และผู้คัดค้านที่ 3 ซึ่งเป็นชาวจีนแคะย่อมไม่มีบรรพบุรุษฝังอยู่ในป่าช้าจีนบ้าบ๋าแห่งนี้ นอกจากนี้ที่ผู้คัดค้านที่ 3 อ้างว่าได้ครอบครองที่ดินจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามคำสั่งศาลชั้นต้น ย่อมต้องถือว่าผู้คัดค้านที่ 3 เป็นผู้ดูแลที่ดิน ข้อนี้ปรากฏว่าคดีดังกล่าวได้มีกรณีพิพาทกันในชั้นบังคับคดีระหว่างผู้คัดค้านที่ 3 กับผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ซึ่งในที่สุดศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาว่าที่ดินพิพาทส่วนใหญ่เป็นที่ฝังศพก่อปูนซีเมนต์มีรูปแบบเป็นฮวงซุ้ยของชาวจีนทั่วไป จากสภาพของป่าช้าดังกล่าวย่อมไม่มีบุคคลใดเข้าไปยึดถือเพื่อตน ทั้งไม่น่าเชื่อว่า ผู้ร้อง (ผู้คัดค้านที่ 3 คดีนี้) ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทด้วยความสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเพราะหากผู้ร้อง กระทำเช่นนั้นบรรดาญาติของผู้ตายที่ฝังอยู่รวมทั้งผู้จัดการสุสานและผู้จัดการบำรุงรักษาสุสานที่พิพาทคงไม่ยินยอมและต่อต้านการกระทำดังกล่าวเพื่อมิให้สภาพป่าช้าสูญสิ้นไป…ฯลฯ ศาลฎีกาเห็นว่า การดำเนินคดีของผู้ร้องดังกล่าวมาทั้งหมดเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 ไม่สมควรที่ผู้ร้องจะได้รับประโยชน์จากการกระทำอันไม่สุจริตของตน คำสั่งศาลชั้นต้นที่ว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์จึงไม่อาจบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งนั้นได้…ฯลฯ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3148/2540 ผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสามคดีนี้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวย่อมต้องผูกพันตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3148/2540 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ข้ออ้างดังกล่าวของผู้คัดค้านที่ 3 จึงรับฟังไม่ได้ ผู้คัดค้านที่ 3 จึงมิใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในที่ดินที่จะขอให้ศาลตั้งผู้คัดค้านที่ 3 เป็นทรัสตีของทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋า ดังนั้น ผู้คัดค้านที่ 3 จึงไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้ศาลแต่งตั้งผู้คัดค้านที่ 3 เป็นทรัสตีแทนนายโลไกจวยทรัสตีคนเดิมซึ่งถึงแก่ความตายไปแล้วได้ ปัญหาดังกล่าวนี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของผู้คัดค้านที่ 3
มีปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ว่า การจัดตั้งทรัสตีขึ้นใหม่แทนทรัสตีเดิมภายหลังประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 ประกาศใช้บังคับแล้วจะมีผลบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าได้จัดตั้งขึ้นแล้วก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 มาตรา 1686 ประกาศใช้บังคับ ย่อมมีผลใช้บังคับกันได้ต่อไปไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด เว้นแต่ผู้รับประโยชน์ทุกคนจะตกลงยินยอมให้เลิกทรัสต์นั้นเสีย เมื่อปรากฏว่า นายโลไกจวยซึ่งเป็นทรัสตีถึงแก่ความตาย ผู้มีส่วนได้เสียของทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าหรือพนักงานอัยการย่อมร้องขอต่อศาลให้ตั้งทรัสตีคนใหม่แทนคนเดิมเพื่อให้ทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋ามีผู้ดูแลจัดการแทนในเรื่องต่าง ๆ ได้ต่อไป ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 มีว่า ผู้ร้องมีส่วนได้เสียในการเป็นทรัสตีของทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าหรือไม่ ผู้ร้องและนางจรัสศรี เบิกความว่า ผู้ร้องเป็นบุตรของนายตันกุยหลิมหรือนายประภัสสร์ ซึ่งเป็นบุตรของนายตันวัดเส็ง ผู้ร้องจึงเป็นทายาทของนายตันวัดเส็งชั้นหลาน นายตันวัดเส็ง นายโลไกจวยและชาวจีนบ้าบ๋าหรือฮกเกี้ยนที่มาจากสาธารณรัฐสิงคโปร์ได้ร่วมกันซื้อที่ดินเพื่อก่อตั้งเป็นทรัสต์เพื่อใช้เป็นสถานที่ฝังศพชาวจีนบ้าบ๋าหรือฮกเกี้ยนที่มาจากาธารณรัฐสิงคโปร์เข้ามาอยู่ในประเทศไทยเรียกว่าป่าช้าจีนบ้าบ๋า (ที่ดิน) ต่อมาได้มีการออกโฉนดสำหรับที่ดิน โดย นายตันวัดเส็งกับพวกได้ให้ทางราชการออกโฉนดที่ดินเพื่อก่อตั้งทรัสต์โดยมีนายโลไกจวยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในหน้าที่ทรัสตีป่าช้าจีนบ้าบ๋าเพื่อจัดการดูแลที่ดินตามเจตนาของผู้ก่อตั้งทรัสต์ ปี 2470 นายโลไกจวยเดินทางไปสาธารณรัฐสิงคโปร์และได้ถึงแก่ความตายที่ประเทศดังกล่าว หลังจากนั้นไม่มีการแต่งตั้ง ทรัสตีคนใหม่แทนนายโลไกจวย นายตันวัดเส็งปู่ของผู้ร้องได้ดูแลที่ดินมาโดยตลอด แต่ไม่มีการขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งนายตันวัดเส็งเป็นทรัสตีของทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าเนื่องจากไม่มีกิจการที่ต้องดำเนินการแทนทรัสต์ นายตันวัดเส็งดูแลที่ดินมาโดยตลอดจนถึงแก่ความตาย นายตันโอหล่มบุตรชายของนายตันวัดเส็งได้ดูแลที่ดินต่อมา หลังจากนั้นนายตันเซ็งซันหรือนายปรีชา น้องชายนายตันโอหล่ม เป็นผู้ดูแลที่ดินต่อมาจนถึงปี 2498 นายปรีชาป่วยจึงมอบให้นายสกล ดูแลที่ดินพร้อมมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวให้นายสกล ขณะที่ นายสกลดูแลทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อดูแล โดยผู้ร้องเคยเข้าร่วมเป็นกรรมการดูแลที่ดินด้วย ต่อมาปี 2534 ผู้คัดค้านที่ 3 ได้ไปยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ต่อศาลแพ่งต่อมาศาลแพ่งมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านที่ 3 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้ร้องจึงได้เข้าไปคัดค้านในชั้นบังคับคดี ในที่สุดศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาไม่ให้มีการเปลี่ยนชื่อในโฉนดที่ดิน ปัจจุบันผู้ร้องและนางจรัสศรียังคงเข้าไปกราบไหว้เคารพศพนายตันวัดเส็งซึ่งฝังอยู่ในที่ดินและมีเหตุจำเป็นที่จะต้องมีทรัสตีเพื่อจัดการดูแลที่ดินเพื่อประโยชน์แก่ผู้ร้องและบรรดาทายาทและญาติของผู้ตายที่จะเข้ามาเคารพกราบไหว้บรรพบุรุษในที่ดินต่อไป ส่วนผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 เบิกความว่า สามีผู้คัดค้านที่ 1 และ ที่ 2 ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ได้ร่วมกันครอบครองดูแลที่ดินมาโดยตลอดนับตั้งแต่นายโลไกจวยลุงของสามีผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 นายโลไกมกและนายโลไกกิมบิดาของสามีผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ถึงแก่ความตาย ผู้ร้องไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องในการดูแลที่ดิน เห็นว่า ผู้ร้องเบิกความยืนยันว่า ผู้ร้องเป็นหลานของนายตันวัดเส็งซึ่งร่วมกับนายโลไกจวยกับชาวจีนบ้าบ๋าหรือฮกเกี้ยนซึ่งมาจากสาธารณรัฐสิงคโปร์ที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยซื้อที่ดินเพื่อใช้เป็นสถานที่ฝังศพชาวจีนบ้าบ๋าหรือฮกเกี้ยน โดยก่อตั้งเป็นทรัสต์ขึ้นเรียกว่าทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋ามีนายโลไกจวยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินในหน้าที่ทรัสตี หลังจากนายโลไกจวยซึ่งเป็นทรัสตีถึงแก่ความตายนายตันวัดเส็งและบุตรชายได้ดูแลที่ดินต่อมา หลังจากนั้นจึงได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการดูแลที่ดินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันซึ่งมีนายสมศักดิ์ เป็นกรรมการทำหน้าที่ดูแลที่ดิน เมื่อผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ไม่นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงย่อมฟังได้ตามที่ผู้ร้องนำสืบมาว่า ผู้ร้องเป็นหลานนายตันวัดเส็งและศพของนายตันวัดเส็งได้ฝังอยู่ในป่าช้าจีนบ้าบ๋าซึ่งผู้ร้องและญาติได้มาเคารพกราบไหว้ศพของนายตันวัดเส็งตามประเพณีในวันเช็งเม้งและสาร์ทจีน ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะขอให้ศาลตั้งผู้ร้องเป็นทรัสตีของทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าได้ ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 มีว่า ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 เหมาะสมเป็นทรัสตีของทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าหรือไม่ เห็นว่าตามที่ผู้คัดค้านที่ 1 นำสืบว่า ที่ดินมีนายโลไกจวยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ปี 2459 นายโลไกจวยได้ขอออกโฉนดที่ดิน ปี 2462 กรมที่ดินออกโฉนดที่ดินเลขที่ 496 ตำบลสาทร อำเภอสาทร (บางรัก) กรุงเทพมหานคร มีนายโลไกจวยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในหน้าที่ทรัสตีป่าช้าจีนบ้าบ๋า นายโลไกจวยได้ครอบครองดูแลที่ดินมาโดยตลอด หากบุคคลจะนำศพมาฝังในที่ดินจะต้องได้รับอนุญาตจากนายโลไกจวยก่อน ต่อมาเมื่อนายโลไกจวยถึงแก่ความตายนายโลไกมกและนายโลไกกิมน้องชายนายโลไกจวยเป็นผู้รับมรดกที่ดินและเข้าไปดูแลที่ดินอย่างเป็นเจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์ เมื่อนายโลไกมกและนายโลไกกิมถึงแก่ความตาย สามีของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรของนายโลไกมกและโลไกกิมตามลำดับจึงได้รับมรดกที่ดินมาโดยในการถือกรรมสิทธิ์ของสามีผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ไม่มีผู้ใดโต้แย้งและผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 มาทราบว่าที่ดินไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนายโลไกจวยเมื่อศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายกฟ้องคดีที่สามีผู้คัดค้านที่ 1 ฟ้องขับไล่ผู้คัดค้านที่ 3 ออกจากที่ดินโดยวินิจฉัยว่าสามีผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 3 ต่างไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน โดยสามีผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้ดูแลที่ดินนั้น ก็ปรากฏจากข้อเท็จจริงที่ได้ความจากทางนำสืบและรายงานกระบวนพิจารณาของศาลในสำนวนว่า เมื่อนายโลไกจวยถึงแก่ความตายได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อดูแลที่ดินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันและนายสมศักดิ์ ผู้ดูแลที่ดินคนปัจจุบันเป็นผู้รักษาโฉนดที่ดินไว้ และนายสมศักดิ์ได้ส่งมอบโฉนดที่ดินต่อศาลในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ข้อนำสืบของผู้คัดค้านที่ 1 ดังกล่าว จึงขัดแย้งแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ได้ความมา น่าเชื่อว่าผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 คงเข้ามาดูแลที่ดินในภายหลังเมื่อเกิดกรณีพิพาทเกี่ยวกับที่ดินกับผู้คัดค้านที่ 3 แล้วเพราะต่างอ้างว่ามีกรรมสิทธิ์ในที่ดินต่อกัน ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 หาได้มีเจตนาที่แท้จริงที่จะเข้ามาดูแลที่ดินเพื่อประโยชน์แก่ทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าไม่ หากให้ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ดูแลที่ดิน ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 อาจจัดการไปผิดวัตถุประสงค์ของผู้ก่อตั้ง ทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าได้ ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 จึงไม่เหมาะที่จะเป็นทรัสตีของทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋า ฎีกาของ ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่าที่ดินที่นายตันวัดเส็งกับพวกร่วมกันซื้อมาเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินป่าช้าจีนบ้าบ๋าและทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋าเป็นทรัสต์เอกชนย่อมจัดตั้งขึ้นเพื่อนายโลไกจวย ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 เป็นทายาทของนายโลไกจวย จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะดูแลทรัสต์ป่าช้าจีนบ้าบ๋า เห็นว่า ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้ยกขึ้นต่อสู่ในเรื่องดังกล่าวไว้ในคำคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 จึงไม่ก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท ถือเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ทั้งไม่ใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ข้ออื่นนอกจากนี้ไม่มีผลเปลี่ยนแปลง คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้เช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน แต่ให้ยกฎีกาของผู้คัดค้านที่ 3 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาแก่ผู้คัดค้านที่ 3 ผู้ร้องไม่แก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้

Share