คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1619/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยร่วมกันแสดงข้อความอันเป็นเท็จเป็นเหตุให้ได้เงินยืมของทางราชการไป อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาโดยครบถ้วนแล้ว การที่จำเลยทำสัญญายืมเงินให้กรมตำรวจไว้ตามระเบียบ ตลอดจนเมื่องเรื่องปรากฏความจริงขึ้น และจำเลยมิได้ส่งใช้เงินคืนกรมตำรวจ กรมตำรวจจึงได้หักเงินเดือนจำเลยใช้เงินยืม ก็เป็นเรื่องภายหลังการที่หลอกลวงได้รับเงินยืมสำเร็จไปก่อนแล้ว เมื่อเรื่องปรากฏความจริงขึ้นภายหลัง กรมตำรวจจึงถือปฏิบัติไปตามสัญญายืมอันเป็นความรับผิดที่จำเลยมีอยู่ในทางแพ่งควบคู่กับความรับผิดทางอาญา หาทำให้การที่จำเลยร่วมกระทำผิดทางอาญากลับไม่เป็นความผิดไปอีกไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยที่ ๑,๒ เป็นตำรวจสันติบาล จำเลยที่ ๑ ไมีมีหน้าที่สืบสวนพฤติการณ์ของบุคคลแต่อย่างใด ส่วนจำเลยที่ ๒ ทำหน้าที่สืบสวนพฤติการณ์ของบุคคลทางการเมือง จำเลยทั้งสองร่วมกันทำบัทึกเสนอ โดยจำเลยที่ ๑ ลงชื่อเสนอรองผู้บังคับการตำรวจสันติบาล มีใจความว่า ตามคำสั่งรองผู้บังคับการตำรวจสันติบาล ให้จำเลยที่ ๑ ไปทำการสืบสวนพฤติการณ์ของบุคคลทางการเมือง จำเลยที่ ๑ จำเป็นที่จะขอยืมเงินทดรองราชการเพื่อใช้จ่ายเป็นเบี้ยเลี้ยง ฯลฯ มีกำหนด ๓๐ วัน รวมเป็นเงิน ๒,๓๘๐ บาท จำเลยที่ ๒ เขียนเสนอบันทึกเพิ่มเติมว่า “และจะออกเดินทางในวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๖” แล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เอกสารสิทธิ์อันเป็นเอกสารราชการตามสำเนาเอกสาร หมาย ก. ไปยื่นหลอกลวงเสนอต่อพันตำรวจเอกบัณฑิต ภีมะโยธิน รองผู้บังคับการตำรวจสันติบาล ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า จำเลยที่ ๑ จะขอยืมเงินทดรองราชการ ความจริงจำเลยที่ ๑ หาได้มีหน้าที่ออกสืบสวนพฤติการณ์ของบุคคล และมิได้รับคำสั่งดังกล่าว พันตำรา เอกบัณฑิตหลงเชื่อจึงได้เสนอเอกสารตามสำหนาหมาย ก. ไปตามลำดับชั้นเพื่อขออนุมัติจ่ายเงิน ๒,๓๘๐ บาท พันตำรวจเอกประวิทย์รองหัวหน้ากองการเงินกรมตำรวจ จึงได้อนุมัติให้จ่ายเงิน ๒,๓๘๐ บาทให้แก่จำเลยที่ ๒ รับไปส่งให้แก่จำเลยที่ ๑
ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗,๓๔๑,๘๓ ฯลฯ
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยทำการตามฟ้องจริง แต่เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีหน้าที่ไปราชการ และผู้บังคับบัญชาไม่ได้สั่งให้ไป ไม่เป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ แต่เป็นผิดตามมาตรา ๓๔๑ พิพากษาว่าจำเลยมีผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑,๘๓ ให้จำคุกคนละ ๒ ปี ให้จำเลยคืนเงินที่ขาด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า พฤติการณ์ของคดีนี้เป็นเรื่องผิดสัญญารับรองการยืมเงินอันเป็นความรับผิดทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
ศาลฎีกาถือข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาตามฟ้อง เห็นว่าเป็นการที่จำเลยทั้งสอง ได้ร่วมกันแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หลอกลวงผู้อื่นโดยทุจริต เป็นเหตุให้ได้เงินยืม ๒,๓๘๐ บาท ของกรมตำรวจไป อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑ โดยครบถ้วนแล้ว การที่จำเลยได้ทำสัญญายืมให้กรมตำรวจไว้ตามระเบียบ ตลอดจนเมื่อเรื่องปรากฏความจริงขึ้น และจำเลยมิได้ส่งใช้เงินคืนกรมตำรวจ กรมตำรวจจึงได้หักเงินเดือนของจำเลยใช้เงินยืม จนเหลืออีกประมาณ ๑,๘๐๐ บาท จำเลยก็ต้องคดีนี้เสีย ไม่มีเงินเดือนที่จะหักใช้นั้น ก็เป็นเรื่องภายหลังที่การหลอกลวงได้รับเงินยืมสำเร็จไปก่อนแล้ว เมื่อเรื่องปรากฏความจริงขึ้นภายหลัง กรมตำรวจจึงถือปฏิบัติไปตามสัญญายืมอันเป็นความรับผิดที่จำเลยมีอยู่ในทางแพ่งควบคู่กับความรับผิดทางอาญา หาได้ทำให้การที่จำเลยทั้งสองได้ร่วมกระทำผิดทางอาญากลับไม่เป็นความผิดไปอีกไม่ การที่ได้รับเงินยืมตามสัญญายืมนั้น เป็นผลสำเร็จของความผิดที่จำเลยกล่าวเท็จหลอกลวง
พิพากษายืน

Share