คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 263-264/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกู้ยืมเงินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น มีบทบัญญัติกฎหมายบังคับไว้เป็นพิเศษว่า ผู้กู้จะนำสืบการใช้เงินได้เฉพาะเท่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เท่านั้น จำเลยจะสืบพยานบุคคล ได้ชำระต้นเงินกู้แล้ว แต่โจทก์ไม่คืนสัญญากู้ให้ไม่ได้ ดังนี้ เมื่อจำเลยไม่มีหลักฐานการใช้ต้นเงินตามที่กฎหมายบัญญัติไว้มาแสดงต่อศาล จำเลยก็ต้องแพ้คดี

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน
สำนวนแรก โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินไป ๔,๐๐๐ บาท พ้นกำหนดแล้วไม่ชำระ จึงขอให้จำเลยใช้ต้นเงินและดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ได้กู้เงินจากโจทก์ไป ๔,๐๐๐ บาทจริง โดยให้ที่นาทำต่างดอกเบี้ย ไม่ได้กำหนดเวลาชำระเงิน แต่ตกลงกันว่า เมื่อยังไม่ชำระเงิน ให้โจทก์ทำนาต่อไป เมื่อต้นเดือนเมษายน ๒๕๐๖ จำเลยนำเงินไปชำระ โจทก์รับไว้แล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมคืนสัญญากู้ โดยจะเอาดอกเบี้ยอีก ขอให้ศาลยกฟ้อง
สำนวนหลัง นางพันธ์โจทก์ฟ้องนายชมเป็นจำเลย ฐานไม่ยอมคืนสัญญากู้และเรียกค่าเสียหาย ขอให้จำเลยคืนสัญญากู้ และใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธว่านางพันธ์โจทก์ยังไม่ได้ชำระเงินต้น ๔,๐๐๐ บาท ไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า น้ำหนักคำพยานทางฝ่ายนางพันธ์ดีกว่านายชม ๆ จึงแพ้คดี พิพากษายกฟ้องคดีที่นายชมเป็นโจทก์
นายชมทั้งในฐานะโจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้นางพันธ์จำเลยใช้เงินต้นกับดอกเบี้ยให้นายชม
นางพันธ์ทั้งในฐานะจำเลยและโจทก์ฎีกา
เพื่อความสะดวก ศาลฎีกาจึงกำหนดให้เรียกนายชมว่าโจทก์และเรียกนางพันธ์ว่าจำเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีสองสำนวนนี้เป็นเรื่องกู้ยืมที่มีหลักฐานเป็นหนังสือซึ่งมีบทบัญญัติของกฎหมายบังคับไว้เป็นพิเศษว่า ผู้กู้จะนำสืบการใช้เงินได้เฉพาะเท่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๕๓ วรรค ๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เท่านั้น จะสืบพยานบุคคลไม่ได้เพราะต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ฉะนั้นจำเลยจึงสืบพยานบุคคลว่าได้ชำระต้นเงินกู้แล้ว แต่โจทก์ไม่คืนสัญญากู้ให้ไม่ได้ เมื่อจำเลยไม่มีหลักฐานการใช้ต้นเงินกู้ให้โจทก์ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้มาแสดงต่อศาล จำเลยต้องแพ้คดีโจทก์ จึงพิพากษายืน

Share