คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนตั้งแต่มาตรา 217 ถึงมาตรา 239 นั้นมีประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 16 ซึ่งใช้บังคับระหว่างเกิดเหตุให้อยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาดังนั้น ที่ศาลจังหวัดปราจีนบุรีรับฟ้องคดีซึ่งมีคำขอให้ลงโทษตามมาตรา 229 ซึ่งเป็นบทหนักไว้ดำเนินการตลอดมาถึงชั้นศาลอุทธรณ์ จึงไม่ชอบที่จะกระทำได้เกี่ยวกับอำนาจศาล
ตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498มีความหมายเพียงว่า เมื่อศาลพลเรือนสั่งรับฟ้องไว้ความยังไม่ปรากฏโดยแจ้งชัดว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลทหารหรือไม่เช่น ยังไม่แน่ว่าจำเลยเป็นทหารประจำการหรือไม่ต่อเมื่อได้รับฟ้องแล้วความจึงปรากฏว่าจำเลยเป็นทหารประจำการดังนี้ ศาลพลเรือนย่อมดำเนินการพิจารณาพิพากษาต่อไปได้(อ้างนัยฎีกาที่ 463/2504) แต่เมื่อคดีปรากฏตั้งแต่แรกตามฟ้องว่า ความผิดที่กล่าวหาเป็นความผิดที่ต้องขึ้นอยู่ในอำนาจศาลทหารตามประกาศคณะปฏิวัติฯ แล้วเช่นนี้ หาใช่ว่าความเพิ่งปรากฏขึ้นภายหลังว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหารไม่ (อ้างฎีกาที่ 1352/2506) ศาลพลเรือนไม่มีอำนาจรับไว้พิจารณาพิพากษาพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองบังอาจสมคบร่วมกระทำผิดทำลายทางสาธารณะโดยขุดหลุมลงไปในทางสาธารณะ ทำให้ทางถูกตัดขาดออกจากกันเป็นหลุมลึกอยู่ในลักษณะน่าจะเป็นเหตุร้ายเกิดอันตรายแก่การจราจรโดยไม่ได้รับอนุญาตอันชอบด้วยกฎหมายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 229, 386, 83

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ที่ดินตรงที่โจทก์หามิใช่ทางสาธารณะและไม่ได้ขุดทำลายจำเลยที่ 2 ให้การว่า ไม่มีเจตนาให้เป็นการขัดขวางน่าจะเป็นอันตรายแก่การสัญจร

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 229,83 คนละ 6 เดือน

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานทำลายทางสาธารณะ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 229, 386, 83 และเห็นว่าความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนตั้งแต่มาตรา 217 ถึง 239 นั้น ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 16 ซึ่งใช้บังคับในระหว่างเกิดเหตุคดีนี้ว่าให้อยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษา ดังนั้น ที่ศาลจังหวัดปราจีนบุรีรับฟ้องคดีนี้ซึ่งมีคำขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 229 ซึ่งเป็นบทหนักไว้ดำเนินการตลอดมาถึงชั้นศาลอุทธรณ์ จึงไม่ชอบที่จะกระทำได้เกี่ยวกับอำนาจศาลที่ปรากฏตามสำนวนว่า ศาลชั้นต้นเห็นว่า โดยที่ศาลพลเรือนได้สั่งประทับฟ้องไว้พิจารณาแล้ว อาศัยมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ จึงได้ดำเนินการพิจารณาพิพากษาจนเสร็จสำนวนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา 15 ดังกล่าวมีความหมายเพียงว่า เมื่อศาลพลเรือนสั่งรับฟ้องไว้ความยังไม่ปรากฏโดยแจ้งชัดว่า คดีนั้นอยู่ในอำนาจศาลทหารหรือไม่ เช่น ยังไม่แน่ว่าจำเลยเป็นทหารประจำการหรือไม่ต่อเมื่อได้รับฟ้องแล้วความจึงปรากฏว่าเป็นทหารประจำการ ดังนี้ศาลพลเรือนที่รับฟ้องไว้ย่อมดำเนินการพิจารณาพิพากษาต่อไปได้นัยฎีกาที่ 463/2504 แต่คดีนี้ปรากฏตั้งแต่แรกตามฟ้องแล้วว่าความผิดที่กล่าวหาแก่จำเลยเป็นความผิดที่ต้องขึ้นอยู่ในอำนาจศาลทหารตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 16 หาใช่ความเพิ่งปรากฏขึ้นภายหลังว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหารไม่ ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งว่า เมื่อได้รับประทับฟ้องไว้แล้ว ก็ย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาต่อไปได้นั้น จึงไม่ชอบที่จะกระทำได้ โดยอาศัยมาตรา 15 ดังกล่าว ดังฎีกาที่ 1352/2506 จึงเห็นว่าคดีนี้ศาลพลเรือนไม่มีอำนาจรับไว้พิจารณาพิพากษา พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share