คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7065/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ออกให้แก่โจทก์พร้อมกับทำสัญญารับชำระหนี้อันเนื่องมาจากจำเลยที่ 1ขอสินเชื่อเพื่อส่งสินค้าไปขายต่างประเทศกับโจทก์โดยทำสัญญาแพคกิ้งเครดิตนั้นเป็นหนี้ตามสัญญาแพคกิ้ง เครดิตซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้ จึงมีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2519 จำเลยที่ 1 เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ 5063 กับโจทก์ สาขาสนามเป้าและใช้บัญชีดังกล่าวกู้เบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์รวม 7 ครั้งเป็นเงิน 1,350,000 บาท ตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราตามสัญญาและประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยต้องชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ทุกเดือน จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ คิดถึงวันฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวนเงิน358,254..32 บาท เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2534 และวันที่11 พฤษภาคม 2534 จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินไปจากโจทก์รวม 2 ครั้งเป็นเงินจำนวน 15,000,000 บาท เมื่อครบกำหนดจำเลยที่ 1ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์คิดถึงวันฟ้องคงค้างชำระเงินต้นและดอกเบี้ย33,421,635 บาท และจำเลยที่ 1 ขอให้โจทก์รับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการส่งสินค้าออกไปยังต่างประเทศ อันเป็นการขอทำแพคกิ้งเครดิตรวม 3 ครั้ง จำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินรวม3 ฉบับ ให้โจทก์และรับเงินจากโจทก์ตามจำนวนเงินในตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสามฉบับ รวมเป็นเงิน 4,800,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 สัญญาว่าจะชำระหนี้ตามจำนวนในตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์ตามกำหนดเวลาในสัญญารับชำระหนี้ เมื่อถึงกำหนดใช้เงินจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 2 ค้ำประกันในวงเงิน 37,350,000 บาท จำเลยที่ 3และที่ 4 ค้ำประกันในวงเงินคนละ 25,000,000 บาท ในหนี้ทุกประเภทและรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 6944, 6945 พร้อมสิ่งปลูกสร้างในวงเงิน10,000,000 บาท จำเลยที่ 3 และที่ 4 จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 6293 ในวงเงิน 3,000,000 บาท โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยทั้งสี่แล้ว แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 358,254.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้แพคกิ้ง เครดิตจำนวน 7,545,581.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี หากจำเลยทั้งสี่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ให้ยึดที่ดินจำนองโฉนดเลขที่ 6293, 6944, 6945 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 4 ให้การว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับวันที่13 ตุลาคม 2525 ขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 41,325,370.83 บาท พร้อมดอกเบี้ย ให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในจำนวน 25,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 6293, 6944, 6945 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม หนี้ตามสัญญารับชำระหนี้ และตั๋วสัญญาใช้เงินลงวันที่ 13 ตุลาคม 2525 จำนวน 3,900,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.39 และ จ.40 ตามลำดับ เป็นหนี้ตามสัญญาแพคกิ้ง เครดิตหรือไม่ และหนี้ดังกล่าวขาดอายุความแล้วหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน เป็นหนี้ตามสัญญาแพคกิ้ง เครดิต ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม ฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับหนี้ตามสัญญาแพคกิ้ง เครดิตซึ่งถึงกำหนดชำระในวันที่11 เมษายน 2526 และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์2532 จึงไม่ขาดอายุความ เมื่อฟังได้ว่าหนี้ตามสัญญาใช้เงินยังไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวแก่โจทก์ด้วย
พิพากษายืน

Share