คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7060/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การสอบสวนผู้ต้องหาอายุไม่เกิน 18 ปี ที่ต้องมีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการเข้าร่วมในการถามปากคำ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 133 ทวิ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 134 ตรี ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะมีการสอบสวนคดีนี้ มี 3 ประเภท ได้แก่ คดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สามปีขึ้นไป คดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่ถึงสามปีซึ่งผู้ต้องหาที่เป็นเด็กร้องขอ และคดีทำร้ายร่างกายเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี คดีนี้มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่ถึง 3 ปี เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ต้องหาร้องขอต่อพนักงานสอบสวนให้มีบุคคลดังกล่าวเข้าร่วมในการถามปากคำ การสอบสวนของพนักงานสอบสวนจึงชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4) (5) (8), 122, 134, 148, 157, 160 วรรคสาม, 160 ทวิ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 42, 64 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 138 ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานขับรถโดยไม่ได้รับใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ และฐานขับรถจักรยานยนต์โดยไม่ได้สวมหมวกนิรภัยหรือหมวกที่จัดทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อป้องกันอันตรายในขณะขับขี่ แต่ให้การปฏิเสธฐานร่วมกันแข่งรถในทางเดินรถสาธารณะ และฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพฐานโดยสารรถจักรยานยนต์โดยไม่สวมหมวกนิรภัยหรือหมวกที่จัดทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อป้องกันอันตรายในขณะโดยสารรถจักรยานยนต์ แต่ให้การปฏิเสธฐานร่วมกันแข่งรถในทางเดินรถสาธารณะ และฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติ ขณะสอบสวนจำเลยทั้งสองอายุไม่เกินสิบแปดปี ระหว่างนั้นมีบทบัญญัติว่าด้วยการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 133 ทวิ และมาตรา 134 ตรี ใช้บังคับอยู่ ในการสอบสวนจำเลยทั้งสองไม่มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการอยู่ด้วย
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในข้อกฎหมายว่า การสอบสวนของพนักงานสอบสวนในคดีนี้ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่า การสอบสวนผู้ต้องหาอายุไม่เกินสิบแปดปีที่ต้องมีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการเข้าร่วมในการถามปากคำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 133 ทวิ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 134 ตรี นั้น ต้องขึ้นอยู่กับประเภทของคดี ซึ่งแบ่งเป็น 3 ประเภท ประเภทแรกคือ คดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สามปีขึ้นไป ประเภทที่สองคือคดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่ถึงสามปี และผู้เสียหายหรือพยานซึ่งเป็นเด็กร้องขอ และประเภทที่สามคือคดีทำร้ายร่างกายเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี คดีนี้จัดอยู่คดีประเภทที่สอง ดังนั้น ผู้ต้องหาในคดีประเภทนี้จึงต้องร้องขอต่อพนักงานสอบสวนให้มีบุคคลดังกล่าวเข้าร่วมในการถามปากคำด้วย แต่ในข้อนี้ศาลล่างทั้งสองยังไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงให้ความชัดว่า จำเลยที่ 1 ได้ร้องขอต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการดังกล่าวหรือไม่ อันนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในสำนวนไปเสียเลย โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ข้อเท็จจริงได้ความตามคำเบิกความของนายมานะ บิดาของจำเลยที่ 1 ว่า ขณะสอบสวนจำเลยที่ 1 พยานได้แจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบแล้วว่า ในการสอบสวนจะต้องมีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการร่วมด้วย แต่พนักงานสอบสวนแจ้งว่า ไม่จำต้องมีบุคคลดังกล่าวนั้น คงเป็นเพียงคำเบิกความลอย ๆ ของนายมานะเท่านั้น โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ถามค้านพนักงานสอบสวนไว้ เพื่อให้มีโอกาสอธิบาย จึงง่ายต่อการกล่าวอ้างในภายหลัง ทั้งพนักงานสอบสวนเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ไม่ปรากฏว่ามีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด ย่อมไม่มีเหตุผลที่พนักงานสอบสวนจะทำการสอบสวนโดยฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายดังกล่าว อันอาจถูกดำเนินคดีฐานปฏิบัติไม่ชอบด้วยหน้าที่ ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ได้กล่าวอ้างว่ามีการร้องขอไว้เช่นนั้น การสอบสวนของพนักงานสอบสวนในคดีนี้จึงชอบแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share