คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6984/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสามบุกรุกเข้าไปในสถานที่เก็บรักษาสายไฟฟ้า ทั้งยังทำร้ายผู้เสียหายซึ่งครอบครองดูแลสถานที่นั้น อันเป็นส่วนหนึ่งของการปล้นทรัพย์ จึงเป็นการลงมือกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ไม่ใช่แค่เพียงตระเตรียมการ แม้จำเลยทั้งสามจะหลบหนีไปก่อน โดยไม่แตะต้องสายไฟฟ้าก็เป็นการลงมือกระทำความผิดแล้วแต่กระทำไปไม่ตลอด การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการร่วมกันพยายามกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 83, 295, 340, 340 ตรี, 364, 365 ริบคีมตัดเหล็กขนาดใหญ่ ถุงมือหนัง เข็มขัดนิรภัยสำหรับปีนเสาสูงและเหล็กรัดรองเท้าสำหรับปีนเสาสูงของกลาง และนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1328/2556 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ แต่ก่อนสืบพยาน จำเลยทั้งสามขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365 (1) (2), 295 ฐานบุกรุก จำคุกคนละ 2 ปีและปรับคนละ 10,000 บาท ฐานทำร้ายร่างกาย จำคุกคนละ 4 เดือน และปรับคนละ 4,000 บาท รวมจำคุกคนละ 2 ปี 4 เดือน และปรับ 14,000 บาท จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 1 ปี 2 เดือน และปรับคนละ 7,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้คนละ 2 ปี ให้คุมความประพฤติจำเลยทั้งสามมีกำหนด 1 ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง และให้จำเลยทั้งสามกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยทั้งสามเห็นสมควรเป็นเวลา 20 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง ยกคำขอโจทก์ที่ขอให้นับโทษต่อและยกฟ้องข้อหาพยายามปล้นทรัพย์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 340 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี, 365 (1) (2) (3) ประกอบมาตรา 364, 83 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันพยายามปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธติดตัวไปด้วยและโดยใช้ยานพาหนะ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 12 ปี จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 6 ปี ริบคีมตัดเหล็กขนาดใหญ่ 2 อัน ถุงมือหนัง 1 คู่ เข็มขัดนิรภัยสำหรับปีนเสาสูง 1 เส้นและเหล็กรัดรองเท้าสำหรับปีนเสาสูง 1 อัน ของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันบุกรุก ทำร้ายร่างกาย และพยายามปล้นทรัพย์ จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามกระทำความผิดฐานร่วมกันบุกรุก และร่วมกันทำร้ายร่างกาย ยกฟ้องโจทก์ข้อหาร่วมกันพยายามปล้นทรัพย์ โดยวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นเพียงการตระเตรียมการเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ จำเลยทั้งสามไม่อุทธรณ์ โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสามลงมือกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์แล้ว ดังนั้น ความผิดฐานร่วมกันบุกรุก และร่วมกันทำร้าย รวมทั้งจำเลยทั้งสามมีเจตนาร่วมกันปล้นสายไฟฟ้าตามฟ้อง จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามเพียงว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามถึงขั้นลงมือกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์แล้วหรือไม่ จากข้อเท็จจริงที่ฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามกับพวกมีเจตนาร่วมกันปล้นสายไฟฟ้าตามที่โจทก์ฟ้อง การที่จำเลยทั้งสามบุกรุกเข้าไปในสถานที่เก็บรักษาสายไฟฟ้าดังกล่าว ทั้งยังทำร้ายผู้เสียหายซึ่งครอบครองดูแลสถานที่นั้น อันเป็นส่วนหนึ่งของการปล้นทรัพย์ในคดีนี้ จึงเป็นการลงมือกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์แล้วไม่ใช่แค่เพียงตระเตรียมการ แม้จำเลยทั้งสามจะหลบหนีไปก่อน โดยไม่แตะต้องสายไฟฟ้าก็เป็นการลงมือกระทำความผิดแล้วแต่กระทำไปไม่ตลอด การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการร่วมกันพยายามกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัย ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า ความผิดฐานร่วมกันบุกรุก ร่วมกันทำร้ายร่างกายและร่วมกันพยายามปล้นทรัพย์เป็นความผิดกรรมเดียว แต่มิได้พิพากษาปรับบทลงโทษในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายด้วย จึงไม่ถูกต้อง เห็นสมควรแก้ไข
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 อีกบทหนึ่งด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

Share