แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พยานหลักฐานที่ศาลมีอำนาจสืบพยานเพิ่มเติมตาม ป.วิ.อ. มาตรา 228 และพยานหลักฐานที่ศาลยอมให้คู่ความฝ่ายที่อ้างว่าคำเบิกความของพยานคนใดที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอ้างมาไม่ควรเชื่อฟังนำมาสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 120 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 นั้น มิใช่การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด หรือเป็นข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่กฎหมายบังคับว่าโจทก์จะต้องบรรยายมาในฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) อีกทั้งมิใช่พยานหลักฐานที่คู่ความประสงค์ที่จะนำสืบสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของตนจะต้องนำสืบในกรณีปกติอันจะอยู่ในบังคับแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 229/1 หรือมาตรา 173/1 ที่คู่ความจักต้องยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานต่อศาลภายในกำหนดเวลาตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นแต่อย่างใด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 251, 252, 264, 265, 266, 268 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานทำปลอมขึ้นซึ่งรอยตราของเจ้าพนักงาน ฐานปลอมเอกสารราชการ และฐานปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 251, 265, 266 (1) เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 กระทงหนึ่งกับมีความผิดฐานใช้รอยตราที่ทำปลอมขึ้น ฐานใช้เอกสารราชการปลอม และฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 252 มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265, 266 (1) เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 2 เป็นผู้ปลอมและใช้ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1) ตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 5 ปี ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ข้อหาและคำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 3 ปี 9 เดือน และริบ น.ส.3 ก. เลขที่1702 กับหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดิน ที่ มค.017/2609 ของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่โต้เถียงกันฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่า นายทองผ่าน สามีของจำเลยที่ 1 ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 4 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2680/2538 ของศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2542 ขณะที่คดีอาญาดังกล่าวอยู่ในระหว่างอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกา จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ปล่อยชั่วคราวนายทองผ่าน โดยใช้หลักทรัพย์เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1702 ตำบล (สำโรง) หนองแดง อำเภอนาเชือกจังหวัดมหาสารคาม เนื้อที่ 12 ไร่ 49 ตารางวา พร้อมหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินดังกล่าวเป็นเอกสารประกอบการยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยตีราคาค่าประกัน 400,000 บาท ต่อมาปรากฏว่านายทองผ่านไม่มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ศาลชั้นต้นจึงออกหมายจับนายทองผ่านและปรับจำเลยที่ 1 นายประกันเต็มตามสัญญา ภายหลังต่อมานายทองผ่านเข้ามอบตัว ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุกนายทองผ่านคดีถึงที่สุดไปแล้ว ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะนายประกันไม่ชำระค่าปรับ ศาลชั้นต้นจึงออกหมายบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดมหาสารคาม นำที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1702 ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหลักประกันออกขายทอดตลาด ดาบตำรวจศุภวงศ์ เป็นผู้ซื้อทอดตลาดได้จึงไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินจังหวัดมหาสารคามสาขานาเชือก แล้วพบว่า น.ส.3 ก. เลขที่ 1702 ของศาลจังหวัดมหาสารคาม มีข้อความไม่ตรงกับคู่ฉบับของสำนักงานที่ดินจังหวัดมหาสารคาม สาขานาเชือกและสำนักงานที่ดินดังกล่าวไม่เคยออกหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดิน เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเพิกถอนการขายทอดตลาด ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลของศาลชั้นต้นจึงร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีนี้ และข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับฟังมาซึ่งจำเลยที่ 2 มิได้ฎีกาโต้เถียงยังฟังได้เป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีการทำปลอมขึ้นซึ่งรอยตราประจำตำแหน่งนายอำเภอนาเชือกทำปลอม น.ส.3 ก. เลขที่ 1702 ในส่วนตำแหน่งที่ดินจาก “ตำบลสำโรง” เป็น “ตำบล (สำโรง) หนองแดง” ในส่วนจำนวนเนื้อที่จาก “1 ไร่ 49 ตารางวา” เป็น “12 ไร่ 49 ตารางวา” และในส่วนของสารบัญจดทะเบียนด้านหลัง น.ส.3 ก. เลขที่ 1702 จากที่ไม่มีรายการจดทะเบียนเป็นมีรายการจดทะเบียนระบุในรายการแรกมีใจความว่า “วันที่ 8 กันยายน 2540 นางสาวลำไพจดทะเบียนรับโอนมรดกมาจากนางดาว ผู้ให้สัญญา เนื้อที่ 12 ไร่ 49 ตารางวา” และรายการสุดท้ายมีใจความว่า “วันที่ 5 มีนาคม 2541 นางสาวลำไพ ผู้ให้สัญญาโอนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 ผู้รับสัญญา เนื้อที่ 12 ไร่ 49 ตารางวา” แล้วประทับตราประจำตำแหน่งนายอำเภอนาเชือกปลอมลงในช่องพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมกับลงลายมือชื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม น.ส.3 ก. ของศาลจังหวัดมหาสารคาม และมีการทำปลอมขึ้นซึ่งหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินของสำนักงานที่ดินจังหวัดมหาสารคาม สาขานาเชือกที่ มค.017/2609 ขึ้นทั้งฉบับพร้อมกับประทับรอยตราประจำตำแหน่งนายอำเภอนาเชือกปลอมลงในเอกสารฉบับนี้ด้วย ตามหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินของศาลจังหวัดมหาสารคาม เห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์มิได้กล่าวบรรยายฟ้องถึงเอกสารในส่วนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 790/2542 ของศาลจังหวัดมหาสารคาม มาในฟ้องและมิได้ระบุอ้างเอกสารดังกล่าวในบัญชีระบุพยาน จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ขัดต่อกฎหมายนั้น เห็นว่า พยานหลักฐานที่ศาลมีอำนาจสืบพยานเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 228 และพยานหลักฐานที่ศาลยอมให้คู่ความฝ่ายที่อ้างว่าคำเบิกความของพยานคนใดที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอ้างมาไม่ควรเชื่อฟังนำมาสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 120 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 นั้น มิใช่การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด หรือเป็นข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่กฎหมายบังคับว่าโจทก์จะต้องบรรยายมาในฟ้องตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) อีกทั้งมิใช่พยานหลักฐานที่คู่ความประสงค์ที่จะนำสืบสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของตนจะต้องนำสืบในกรณีปกติอันจะอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 229/1 หรือมาตรา 173/1 ที่คู่ความจักต้องยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานต่อศาลภายในกำหนดเวลาตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นแต่อย่างใด ดังนั้น แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องกล่าวอ้างถึงเอกสารในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 790/2542 ของศาลจังหวัดมหาสารคาม และมิได้ยื่นบัญชีระบุอ้างเอกสารดังกล่าวไว้ในบัญชีระบุพยานก็หาเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ขัดต่อกฎหมายไม่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 แต่ให้ลงโทษจำเลยที่ 2 และริบของกลางมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน