แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ที่โจทก์ฟ้องเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินที่จำเลยเคยยื่นคำร้องขัดทรัพย์อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยมาก่อนและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำร้อง คดีถึงที่สุดแล้วเช่นนี้คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 คดีนี้จึงต้องฟังว่าจำเลยไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 3184 โดยซื้อจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 591/2536 ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ปลูกบ้านเลขที่ 188 โรงเรือนที่พักคนงานโรงเรือนเก็บสิ่งของ ปลูกต้นอ้อย ต้นข้าว ต้นข้าวโพดและต้นถั่วลิสงกับจำเลยที่ 2ปลูกบ้านไม่มีเลขที่ อยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าว โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยทั้งสองอยู่ในที่ดินของโจทก์ จึงบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดิน แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 3184 ตำบลบ่อสุพรรณ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ให้จำเลยที่ 1 ขนย้ายบ้านเลขที่ 188 หมู่ที่ 5 ตำบลบ่อสุพรรณ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรีโรงเรือนที่พักคนงาน โรงเรือนเก็บสิ่งของ ตลอดจนบริวารและทรัพย์สินรวมทั้งต้นอ้อยต้นข้าว ต้นข้าวโพด และต้นถั่วลิสงและให้จำเลยที่ 2 ขนย้ายบ้านไม่มีเลขที่ตลอดจนบริวารและทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้อาศัยในที่ดินตามฟ้อง แต่จำเลยที่ 1ครอบครองอาศัยอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 เอง ซึ่งซื้อมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้วที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3184 ไม่ใช่ที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินที่จำเลยที่ 1 ครอบครองอยู่ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตาย โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยที่ 1 และบริวารออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3184 ตำบลบ่อสุพรรณ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี และขนย้ายบ้านเลขที่ 188 หมู่ที่ 5 ตำบลบ่อสุพรรณ อำเภอสองพี่น้องจังหวัดสุพรรณบุรี โรงเรือนที่พักคนงาน โรงเรือนเก็บสิ่งของตลอดจนบริวารและทรัพย์สินรวมทั้งต้นอ้อย ต้นข้าว ต้นข้าวโพด และต้นถั่วลิสงออกไปจากที่ดินของโจทก์แปลงดังกล่าว
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3184 เป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินที่จำเลยที่ 1ครอบครอง และการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 นำข้อเท็จจริงตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 591/2536 ของศาลชั้นต้นมาวินิจฉัยเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นนั้นเห็นว่า โจทก์ได้กล่าวอ้างถึงสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 591/2536 ของศาลชั้นต้นไว้ในคำฟ้อง ทั้งได้ระบุอ้างสำนวนคดีดังกล่าวเป็นพยานโดยโจทก์กล่าวในคำร้องฉบับลงวันที่ 22 มกราคม 2540 ที่ขอให้นำสำนวนคดีดังกล่าวมาผูกรวมไว้กับคดีนี้ว่า จำเลยที่ 1 เคยยื่นคำร้องขัดทรัพย์ไว้ในคดีดังกล่าวโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน คดีถึงที่สุดแล้วดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 นำข้อเท็จจริงตามสำนวนคดีดังกล่าวมาวินิจฉัยจึงตรงตามคำฟ้องและประเด็นในข้อพิพาทแล้ว หาเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นดังที่จำเลยที่ 1 อ้างในฎีกาไม่ และตามสำนวนคดีดังกล่าวได้ความว่า จำเลยที่ 1ยื่นคำร้องขัดทรัพย์โดยอ้างว่าที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 3184 ตำบลบ่อสุพรรณ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นของจำเลยที่ 1 และเอกสารท้ายคำร้องขัดทรัพย์ก็ยืนยันว่าบ้านเลขที่ 188 หมู่ที่ 5 ตำบลบ่อสุพรรณ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรีซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าบ้านนั้นปลูกอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าว ตรงตามประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดสุพรรณบุรีเอกสารหมาย จ.1 พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบเพียงเท่านี้ก็มีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคงแล้วว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ที่โจทก์ฟ้องเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินที่จำเลยที่ 1ครอบครองโดยไม่จำต้องทำแผนที่พิพาทรังวัดสอบเขตหรือขอให้ศาลไปเผชิญสืบที่ดินพิพาทตามที่จำเลยฎีกาแต่อย่างใด เมื่อจำเลยที่ 1 เคยยื่นคำร้องขัดทรัพย์อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 มาก่อน และศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำร้อง คดีถึงที่สุดแล้วเช่นนี้ คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 และต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน