คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5433/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลฎีกาพิพากษาว่า ค. เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้ ต. และบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ดังนั้น การที่โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ค. ใช้สิทธิฟ้องจำเลยในฐานะบริวารของ ต. ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าว เมื่อ ต. ถูกผูกพันโดยคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ค. จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นบริวารของ ต. ออกไปจากที่ดินพิพาทได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 3,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกของนายคำสาบิดาโจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี โดยให้มีผู้พิพากษาครบองค์คณะ ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่แล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ทะเบียนสารบบเล่ม 3 เลขที่ 287 หมู่ที่ 5 ตำบลเรณูนคร อำเภอธาตุพนม (เรณูนคร) จังหวัดนครพนม ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาท แก่โจทก์นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป (ฟ้องวันที่ 18 มกราคม 2553) จนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในส่วนที่เสียเกินมา 1,200 บาท ให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาล นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งว่า เดิมนายคำสา บิดาของโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 289 หมู่ที่ (5) 10 ตำบล (เรณู) โคกหินแฮ่ อำเภอ (ธาตุพนม) เรณูนคร จังหวัดนครพนม เนื้อที่ 14 ไร่ จำเลยซึ่งเป็นบุตรเขยของนางคำตัน ได้อาศัยสิทธิของนางคำตันเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ต่อมาเมื่อปี 2541 นายคำสาถึงแก่ความตายโจทก์ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกของนายคำสาตามคำสั่งศาลชั้นต้น ในปี 2542 โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท แต่จำเลยเพิกเฉยก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ นางคำตันได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้กับพวกรวม 4 คน ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของนายคำสา เป็นจำเลย ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 587/2552 ของศาลชั้นต้น โดยกล่าวฟ้องว่าเมื่อปี 2507 นางคำตันกับนายคำสา ร่วมกันซื้อที่ดินเนื้อที่ประมาณ 14 ไร่ แล้วตกลงแบ่งการครอบครองเป็นสัดส่วนโดยโจทก์ครอบครองทำประโยชน์และปลูกบ้านพักอาศัยในที่ดินทางด้านทิศตะวันตก ส่วนนายคำสาครอบครองที่ดินทางด้านทิศตะวันออก ต่อมาเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2509 นายคำสานำที่ดินแปลงดังกล่าวทั้งส่วนของนางคำตันและนายคำสาไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ให้แก่นายคำสาเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2510 หลังจากนายคำสาถึงแก่ความตายแล้ว นางคำตันก็ได้บอกกล่าวให้โจทก์กับพวกในฐานะทายาทของนายคำสาแบ่งแยกที่ดินพิพาทส่วนที่นางคำตันครอบครองให้แก่นางคำตัน แต่โจทก์กับพวกเพิกเฉย ส่วนโจทก์คดีนี้กับพวกให้การและฟ้องแย้งว่านายคำสาซื้อที่ดินเพียงผู้เดียว นางคำตันไม่ได้ร่วมซื้อด้วย นางคำตันเข้าไปอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนายคำสา ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของนางคำตัน ขอให้บังคับนางคำตันและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทได้หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้กับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 587/2552 ของศาลชั้นต้น มีประเด็นข้อพิพาทโต้แย้งอย่างเดียวกันว่าที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 287 หมู่ที่ (5) 10 ตำบล (เรณู) โคกหินแฮ่ อำเภอ (ธาตุพนม) เรณูนครจังหวัดนครพนม เป็นของนายคำสาหรือของนางคำตัน ซึ่งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 587/2552 ของศาลชั้นต้น ปรากฏว่าศาลฎีกาพิพากษาว่า นายคำสาเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 287 หมู่ที่ (5) 10 ตำบล (เรณู) โคกหินแฮ่ อำเภอ (ธาตุพนม) เรณูนคร จังหวัดนครพนม ให้นางคำตันและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9580/57 ดังนั้น การที่โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายคำสาใช้สิทธิฟ้องจำเลยในฐานะบริวารของนางคำตันซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าว เมื่อนางคำตันถูกผูกพันโดยคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายคำสา จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นบริวารของนางคำตันออกไปจากที่ดินพิพาทได้ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินอันเป็นอสังหาริมทรัพย์จำเลยให้การต่อสู้ว่าอยู่ในที่ดินในฐานะบริวารของนางคำตัน เท่ากับมิได้ต่อสู้ว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย จึงเป็นคดีขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ตามตาราง 1 (2) (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท แต่โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้น และจำเลยชำระค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ จึงให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาในส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์และจำเลย
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาส่วนที่เสียเกินมาแก่โจทก์และจำเลยตามลำดับ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share