แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 18 มกราคม 2553 ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว เป็นการคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ไม่ดำเนินการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 4692 ของจำเลยเช่นเดียวกับคำร้องนี้ แม้จะเป็นการคัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีคนละคราวกัน แต่ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากโจทก์ยื่นคำแถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินแปลงเดียวกันโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันว่าทรัพย์จำนองไม่เพียงพอชำระหนี้โจทก์ ซึ่งคำร้องฉบับหลังโจทก์อ้างเพียงว่ามีภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นเท่านั้นอันมีผลสืบเนื่องมาจากการที่โจทก์ไม่รีบดำเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์จำนอง โดยความรับผิดในส่วนดอกเบี้ยของจำเลยนี้มีมาแต่เดิมและมีอยู่แล้วในขณะที่โจทก์ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 18 มกราคม 2553 คำร้องของโจทก์จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยชำระเงิน 599,726.98 บาท พร้อมดอกเบี้ย โดยผ่อนชำระรายเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 6,400 บาท ภายในทุกวันที่ 15 ของเดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2545 เป็นต้นไป ภายใน 15 ปี และชำระเบี้ยประกันภัยที่โจทก์ออกแทนไป รวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนและค่าทนายความด้วย หากจำเลยผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์บังคับคดีในหนี้ส่วนที่ค้างชำระโดยยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 80991 ตำบลบึงทองหลาง อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนเสร็จสิ้น หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนกว่าจะครบถ้วน ต่อมาวันที่ 25 ธันวาคม 2546 โจทก์ขอบังคับคดีตามคำพิพากษาโดยอ้างว่าจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ วันที่ 14 ตุลาคม 2547 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์จำนองเพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษา วันที่ 18 มกราคม 2553 โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ไม่ดำเนินการยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยตามคำขอของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน คู่ความไม่ฎีกา วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2555 โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ไม่ดำเนินการยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยตามคำขอของโจทก์ ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยต่อไป และขอขยายระยะเวลาบังคับคดี
เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในชั้นนี้ฟังเป็นยุติได้ว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยชำระเงิน 599,726.98 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 483,764.65 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 8 พฤศจิกายน 2544) เป็นต้นไป โดยผ่อนชำระรายเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 6,400 บาท ภายในทุกวันที่ 15 ของเดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2545 เป็นต้นไป ภายใน 15 ปี และชำระเบี้ยประกันภัยที่โจทก์ออกแทนไป รวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนและค่าทนายความด้วย หากจำเลยผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์บังคับคดีในหนี้ส่วนที่ค้างชำระโดยยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 80991 ตำบลบึงทองหลาง อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนเสร็จสิ้น หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนกว่าจะครบถ้วน ต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้โจทก์ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2547 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองเพื่อบังคับคดี ต่อมาวันที่ 18 มกราคม 2553 โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ไม่ดำเนินการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 4692 ตำบลแม่ก๊า อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นทรัพย์สินอื่นของจำเลยตามคำขอของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ไม่ฎีกา ประเด็นตามคำร้องขอของโจทก์จึงถึงที่สุดไปแล้ว ต่อมาวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2555 โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ไม่ดำเนินการยึดที่ดินแปลงดังกล่าวซึ่งเป็นทรัพย์สินอื่นของจำเลยตามคำขอของโจทก์อีกครั้ง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2555เป็นประเด็นเดียวกันกับคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 18 มกราคม 2553 หรือไม่ และกรณีมีเหตุที่จะขยายระยะเวลาบังคับคดีให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า คำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 18 มกราคม 2553 เป็นการคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ไม่ดำเนินการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 4692 ของจำเลยเช่นเดียวกับคำร้องนี้ แม้จะเป็นการคัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีคนละคราวกัน แต่ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากโจทก์ยื่นคำแถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินแปลงเดียวกันโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันว่าทรัพย์จำนองไม่เพียงพอชำระหนี้โจทก์ ซึ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2545 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ 599,726.98 บาท แก่โจทก์ และตามรายงานการยึดทรัพย์ของเจ้าพนักงานบังคับคดีในสำนวนอันดับที่ 37 พบว่า ทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 80991 พร้อมสิ่งปลูกสร้างมีราคาประเมินถึง 634,800 บาท สูงกว่าภาระหนี้ที่จำเลยมีต่อโจทก์ ทั้งที่ตามคำขอออกหมายบังคับคดีของโจทก์ฉบับลงวันที่ 25 ธันวาคม 2546 ก็ปรากฏว่าจำเลยไม่ได้ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความแต่อย่างใด ดังนั้น หากโจทก์รีบดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดอาจทำให้ได้เงินเพียงพอแก่การรับชำระหนี้ แต่โจทก์กลับปล่อยเวลาให้เนิ่นนานโดยดำเนินการยึดทรัพย์จำนองวันที่ 14 ตุลาคม 2547 และขอให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 4692 เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2553 หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความถึง 2 ปี 8 เดือน และ 8 ปี ตามลำดับ ทำให้จำเลยซึ่งต้องรับผิดในดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 483,764.65 บาท มีภาระหนี้เพิ่มขึ้นมาก อันมีผลสืบเนื่องมาจากการที่โจทก์ไม่รีบดำเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์จำนอง ซึ่งความรับผิดในส่วนดอกเบี้ยของจำเลยนี้มีมาแต่เดิมและมีอยู่แล้วในขณะที่โจทก์ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 18 มกราคม 2553 มิใช่พฤติการณ์พิเศษที่ทำให้โจทก์ไม่อาจอ้างได้มาก่อน คำร้องของโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 เมื่อโจทก์ไม่อาจดำเนินการยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้ก่อนมีการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองแล้ว และการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองที่ยึดไว้ภายในกำหนดระยะเวลาบังคับคดียังสามารถทำได้แม้จะล่วงเลยระยะเวลาบังคับคดี กรณีจึงไม่มีเหตุขยายระยะเวลาบังคับคดีให้แก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ