แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยที่ 1 จะทำหนังสือมอบอำนาจให้แก่จำเลยที่ 1ไว้ล่วงหน้านาน 1 ปีเศษ ตราบใดที่ยังไม่ปรากฏว่ามีการเพิกถอนหนังสือมอบอำนาจนั้นก็ยังคงใช้ได้อยู่ จำเลยที่ 1 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนทำสัญญารับช่วงการทำเหมืองกับโจทก์ และจำเลยที่ 1เป็นผู้ผลิตและขนย้ายแร่ที่ผลิตจากเหมืองของโจทก์ไปตามจำนวนน้ำหนักที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการจึงต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์ตามสัญญารับช่วงการทำเหมืองพร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ทำสัญญารับช่วงการทำเหมืองกับโจทก์ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยที่ 2 มิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ 1,191,050 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 1,162,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ทำสัญญาตามฟ้องกับโจทก์แทนจำเลยที่ 1 โดยสัญญาไม่ได้ผูกพันจำเลยที่ 2 ให้รับผิดเป็นส่วนตัวจำเลยที่ 2 เป็นเพียงลูกจ้างและตัวแทนกระทำการแทนจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นตัวการ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ถึงแก่ความตาย นางกิ้มจ่าง แซ่หลีภริยาโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินแก่โจทก์ 1,092,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับถัดจากวันที่15 พฤศจิกายน 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนทำสัญญารับช่วงการทำเหมืองกับโจทก์ จึงต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์ตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่าโจทก์ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ถือประทานบัตรทำเหมืองแร่แบไรท์ในท้องที่ตำบลนบพิตำ อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช เนื้อที่288 ไร่ 1 งาน 31 ตารางวา ตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2514ถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2535 ตามประทานบัตรเอกสารหมาย จ.1จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนเอกสารหมายจ.7 สำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพมหานคร และมีสาขาอยู่ที่อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการโรงบดแร่ของจำเลยที่ 1 ที่อำเภอท่าศาลา เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2532 จำเลยที่ 2 กับโจทก์ได้ทำสัญญารับช่วงการทำเหมืองตามประทานบัตรของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.9 ในระหว่าง พ.ศ. 2533 ถึง พ.ศ. 2534 ได้มีการผลิตแร่และขนแร่ออกจากเหมืองของโจทก์ตามสัญญารับช่วงการทำเหมืองเป็นจำนวน 29,050 เมตริกตัน
คดีมีปัญหาตามฎีกาโจทก์เพียงข้อเดียวว่า จำเลยที่ 1ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนทำสัญญารับช่วงการทำเหมืองจากโจทก์และจะต้องรับผิดใช้เงินจำนวนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแก่โจทก์หรือไม่ พยานหลักฐานโจทก์ได้ความว่า โจทก์เป็นผู้ถือประทานบัตรทำเหมืองแร่แบไรท์ในพื้นที่ 288 ไร่เศษ ที่ตำบลนบพิตำ อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ตามเอกสารหมาย จ.1 ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 76 “บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ถือประทานบัตรยอมให้ผู้อื่นรับช่วงการทำเหมือง เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี หรือผู้ที่รัฐมนตรีมอบหมาย” มาตรา 77 บัญญัติว่า”เมื่อผู้ถือประทานบัตรประสงค์จะให้ผู้อื่นรับช่วงการทำเหมืองให้ยื่นคำขอต่อทรัพยากรธรณีประจำท้องที่ ระบุบุคคลผู้จะรับช่วงการทำเหมืองในระยะเวลาใดเวลาหนึ่งภายในอายุของประทานบัตร และส่วนของเขตเหมืองแร่ที่จะให้รับช่วงการทำเหมืองแร่รัฐมนตรีหรือผู้ที่รัฐมนตรีมอบหมายเป็นผู้ออกใบอนุญาตให้มีการรับช่วงการทำเหมืองได้ ตามที่จะพิจารณาเห็นสมควร ” ดังนั้น การรับช่วงการทำเหมืองจึงต้องปฏิบัติตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น แล้ววินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 มีอำนาจกระทำแทนจำเลยที่ 1 ในกิจการรับช่วงการทำเหมืองจากผู้ถือประทานบัตรและติดต่อกับพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัติแร่เกี่ยวกับการรับช่วงการทำเหมืองดังกล่าวข้างต้นไป ที่นางทิพยวดี กรรมการจำเลยที่ 1เบิกความว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยมอบหมายให้ผู้ใดรับช่วงการทำเหมืองจากบุคคลอื่น จึงขัดกับข้อความในหนังสือมอบอำนาจและแม้จำเลยที่ 1จะทำหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ไว้ล่วงหน้านาน1 ปีเศษ ตราบใดที่ยังไม่ปรากฏว่ามีการเพิกถอนหนังสือมอบอำนาจนั้นก็ยังคงใช้ได้อยู่ ดังนั้น ที่พยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยที่ 2 ได้นำหนังสือมอบอำนาจหมาย จ.3 มาแสดงว่าเป็นตัวแทนรับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 ขอทำสัญญารับช่วงการทำเหมืองกับโจทก์แทนจำเลยที่ 1จึงรับฟังได้ ต่อมาเมื่อมีการทำสัญญารับช่วงการทำเหมืองตามเอกสารหมาย จ.9 ก็ระบุในสัญญาโดยเรียกโจทก์ว่า “ผู้ถือประทานบัตร”ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 1 โดยระบุชื่อบริษัทและผู้มีอำนาจกระทำแทนบริษัท 2 คน ตรงกับชื่อผู้มีอำนาจกระทำแทนจำเลยที่ 1 ในหนังสือมอบอำนาจเรียกว่า “ผู้รับช่วง” อีกฝ่ายหนึ่ง โดยมีจำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นผู้รับช่วงแทน ข้อความดังกล่าวแสดงว่าโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ทำสัญญากับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ลงชื่อแทนจำเลยที่ 1โดยสุจริต การที่จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญารับช่วงการทำเหมืองแร่จากโจทก์และจ่ายเช็คมอบให้โจทก์เป็นค่าตอบแทน 70,000 บาท ในวันทำสัญญา จึงต้องฟังว่าเป็นการกระทำแทนจำเลยที่ 1 และเอาเงินจำเลยที่ 1 ชำระเป็นค่าตอบแทน จำเลยที่ 1 เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้รับช่วงการทำเหมืองจากโจทก์ และเป็นผู้ผลิตและขนย้ายแร่จากเหมืองของโจทก์ตามน้ำหนักแร่ที่โจทก์ฟ้องโจทก์จำเลยที่ 2 เป็นผู้กระทำการแทนข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2เป็นตัวแทนทำสัญญารับช่วงการทำเหมืองกับโจทก์ และจำเลยที่ 1เป็นผู้ผลิตและขนย้ายแร่ที่ผลิตจากเหมืองของโจทก์ไปกับจำนวนน้ำหนักที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการจึงต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์ตามสัญญารับช่วงการทำเหมืองเอกสารหมาย จ.9 เป็นจำนวนเงิน1,092,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ทำสัญญารับช่วงการทำเหมืองกับโจทก์ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 2 มิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัย และพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2
พิพากษากลับให้จำเลยที่ 2 รับผิดชำระเงินโจทก์ 1,092,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับถัดจากวันที่ 15พฤศจิกายน 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2