คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6969/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ในวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โจทก์และจำเลยมาศาล เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังแล้วโดยศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาใหม่แล้วดำเนินการต่อไปศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้โจทก์และจำเลยฟังต่อเนื่องกันไป ถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในศาลให้โจทก์และจำเลยฟังโดยเปิดเผยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 182 วรรคสอง แล้ว แม้ในวันดังกล่าวจะมิได้เป็นวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ไม่ทำให้การอ่านคำพิพากษาที่ชอบด้วยกฎหมายกลับกลายเป็นไม่ชอบเพราะคดีเสร็จการพิจารณามาก่อนนั้นแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4(1)(2)

จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อมาหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จและสืบพยานจำเลยได้2 ปาก จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่รับสารภาพตามฟ้อง โดยจำเลยขอผ่อนชำระเงินให้ผู้เสียหายเดือนละ 25,000 บาท ศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปฟังคำพิพากษาในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 แล้วเลื่อนนัดอีกครั้งหนึ่งเป็นวันที่ 13 ธันวาคม 2542ครั้นถึงวันนัดดังกล่าวจำเลยไม่มาศาลศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปนัดฟังคำพิพากษาในวันที่20 มกราคม 2543 และออกหมายจับจำเลยมาฟังคำพิพากษา ต่อมาวันที่ 29 ธันวาคม2542 ผู้ประกันนำตัวจำเลยมาส่งศาล ศาลชั้นต้นรับตัวจำเลยไว้เพิกถอนหมายจับและอนุญาตให้จำเลยประกันตัวต่อไปครั้นถึงวันนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 20 มกราคม 2543จำเลยไม่มาศาลโดยยื่นคำร้องอ้างว่าป่วยแต่ได้ฝากเงินมาชำระให้ผู้เสียหายบางส่วนจำนวน 8,000 บาท และขอเลื่อนการฟังคำพิพากษาออกไปศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย โดยพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4(1)(2)ลงโทษจำคุก 10 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 5 เดือน

จำเลยอุทธรณ์การอ่านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่อ่านลับหลังจำเลยว่าขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 182 วรรคสาม และอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาใหม่แล้วดำเนินการต่อไป

ศาลชั้นต้นนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2543 ถึงวันนัดโจทก์และจำเลยมาศาล เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังแล้วศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นฉบับเดิมให้โจทก์และจำเลยฟังใหม่

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 5 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งคงจำคุก 2 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้โจทก์จำเลยฟังในวันที่ 6 พฤศจิกายน2543 ซึ่งเป็นวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นการอ่านคำพิพากษาโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 182วรรคสาม บัญญัติไว้ว่า “เมื่อศาลอ่านให้คู่ความฟังแล้ว ให้คู่ความลงลายมือชื่อไว้ ถ้าเป็นความผิดของโจทก์ที่ไม่มาจะอ่านโดยโจทก์ไม่อยู่ก็ได้ ในกรณีที่จำเลยไม่อยู่ โดยไม่มีเหตุสงสัยว่าจำเลยหลบหนีหรือจงใจไม่มาฟัง ให้ศาลออกหมายจับจำเลย เมื่อได้ออกหมายจับแล้วไม่ได้ตัวจำเลยมาภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันออกหมายจับ ก็ให้ศาลอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งลับหลังจำเลยได้ และให้ถือว่าโจทก์หรือจำเลยแล้วแต่กรณีได้ฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นแล้ว” แสดงว่า ตามบทบัญญัติดังกล่าวไม่ประสงค์จะให้อ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย แต่หากจำเลยหลบหนีไม่สามารถนำตัวมาฟังคำพิพากษาได้ก็อนุญาตให้อ่านคำพิพากษาลับหลังได้ หากพ้นกำหนดเวลา 1 เดือน นับแต่วันออกหมายจับเกี่ยวกับกรณีนี้ ในวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คือวันที่ 6 พฤศจิกายน2543 โจทก์และจำเลยมาศาลพร้อม เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังแล้วศาลจึงอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้โจทก์และจำเลยฟังต่อเนื่องกันไป ถือได้ว่าศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในศาลให้โจทก์และจำเลยฟังโดยเปิดเผย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 182 วรรคสอง แล้ว แม้ในวันดังกล่าวจะมิได้เป็นวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ไม่ทำให้การอ่านคำพิพากษาที่ชอบด้วยกฎหมายกลับกลายเป็นไม่ชอบแต่อย่างใดทั้งนี้เพราะคดีเสร็จการพิจารณามาก่อนนั้นแล้ว การอ่านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงเป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน”

Share