คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6845/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับฟังพยานหลักฐานในสำนวน ไม่ถูกต้อง พยานบุคคลหรือพยานเอกสารไม่มีข้อใดที่บ่งชี้ได้ถึงขนาดที่ศาลจะรับฟังได้ว่า สินค้าพิพาทในคดีนี้เสียหาย หรือความเสียหายได้เกิดขึ้นในระหว่างที่สินค้าอยู่ในความดูแลของจำเลย และจำเลยซึ่งเป็นผู้ขนส่งอื่นได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สินค้าพิพาท เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 200,000 บาท อุทธรณ์ดังกล่าวของจำเลยจึงต้องห้ามตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและ การค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 41
เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้ขนส่งและจำเลยที่ 3 ผู้ขนส่งอื่นต้องร่วมกันรับผิดเพื่อความเสียหายแก่สินค้าพิพาทและ ตามใบตราส่งสินค้าพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1 ออกให้แก่ผู้ส่งของระบุว่าสินค้าพิพาทเป็นเคมีภัณฑ์สำหรับผลิตแชมพูจำนวน 34 ถัง และ 10 ถังตามลำดับ จึงเป็นกรณีที่มีการระบุจำนวนและลักษณะของหน่วยการขนส่งไว้ในใบตราส่ง ต้องถือว่า สินค้าพิพาทมีจำนวนหน่วยการขนส่งเป็นถังตามที่ระบุไว้ ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ. การรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 59 (1) ส่วนใบตราส่งที่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ขนส่งอื่นออกให้แก่บริษัท ฮ. ซึ่งเป็นผู้ขนส่งอื่นที่มาว่าจ้างจำเลยที่ 3 ให้ขนส่งสินค้าพิพาทอีกทอดหนึ่ง เป็นใบตราส่งที่ออกให้ระหว่าง ผู้ขนส่งอื่นด้วยกัน หาอาจนำมาใช้ยันผู้ส่งของได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 213,172 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นจำนวน 205,472 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นผู้รับขนสินค้าพิพาท โจทก์ไม่สามารถรับช่วงสิทธิมาไล่เบี้ยได้เพราะมิได้แจ้งจำเลยที่ 2 เพื่อร่วมตรวจสอบว่าสินค้าเสียหายจริงหรือไม่ สินค้าพิพาทไม่เสียหาย คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะใช้สิทธิเกิน 1 ปีแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ต่างเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดบริษัทโอลิน พีทีอี จำกัด ผู้ส่งซึ่งอยู่ประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ขนสินค้าพิพาท จำเลยที่ 1 จึงว่าจ้างบริษัทฮาร์พัค-ลอยด์ (เอส) พีทีอี จำกัด ให้ขนส่งสินค้าพิพาทอีกต่อหนึ่งและบริษัทฮาร์พัค-ลอยด์ (เอส) พีทีอี จำกัด ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 3 ให้ขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ โดยแจ้งว่าสินค้าที่บรรจุอยู่ในตู้เป็นสารเคมีสำหรับผลิตแชมพูจากประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์มายังกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย จำเลยที่ 3 ใช้เรือยันตระภูมิขนส่งโดยเป็นแบบซีวาย/เอฟโอ (CY/FO) หมายถึง จำเลยที่ 1 ได้นำตู้คอนเทนเนอร์ไปบรรจุสินค้าและปิดผนึกดวงตราปากตู้ต่อหน้าเจ้าพนักงานศุลกากรด้วยตนเอง ผู้ขนส่งหรือตัวแทนจึงไม่ทราบถึงสภาพ จำนวนหรือรายละเอียดของสินค้าพิพาทเมื่อเรือยันตระภูมิเดินทางมาถึงท่าเรือกรุงเทพได้ขนถ่ายส่งมอบสินค้าให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทยรับไว้แทนผู้รับตราส่ง ในสภาพตู้และดวงตราผนึกปากตู้เรียบร้อยหน้าที่ของผู้ขนส่งจึงสิ้นสุดลง ตามมาตรา 40 (2) (3) แห่งพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 ส่วนจำเลยที่ 4 ไม่ใช่ผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่นแต่ประกอบกิจการเป็นตัวแทนเรือยันตระภูมิในการดำเนินพิธีการเรือต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณา โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลอนุญาต และให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 40,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 7,700 บาท กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้เป็นเงิน 8,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 4 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ที่จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ว่า ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับฟังพยานหลักฐานในสำนวนไม่ถูกต้อง จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคลหรือพยานเอกสาร ไม่มีข้อใดที่บ่งชี้ชัดได้ถึงขนาดที่ศาลจะรับฟังได้ว่าสินค้าพิพาทในคดีนี้เสียหาย หรือความเสียหายได้เกิดขึ้นในระหว่างที่สินค้าอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ขนส่งอื่นได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สินค้าพิพาทแต่อย่างใดนั้น ล้วนเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 41 ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับอุทธรณ์ส่วนนี้ของจำเลยที่ 3 มาด้วยเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า ตามใบตราส่งระบุว่าสินค้าพิพาทแต่ละเที่ยวบรรจุในตู้สินค้าเพียง 1 ตู้ จึงต้องถือว่าตู้สินค้าเป็นหน่วยการขนส่งในการคำนวณข้อจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งนั้น เห็นว่าเมื่อจำเลยที่ 1 ผู้ขนส่งและจำเลยที่ 3 ผู้ขนส่งอื่นต้องร่วมกันรับผิดเพื่อความเสียหายแก่สินค้าพิพาทและตามใบตราส่งสินค้าพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1 ออกให้แก่ผู้ส่งของระบุว่าสินค้าพิพาทเป็นเคมีภัณฑ์สำหรับผลิตแชมพูจำนวน 34 และ 10 ถัง ตามลำดับ จึงเป็นกรณีที่มีการระบุจำนวนและลักษณะของหน่วยการขนส่งไว้ในใบตราส่งต้องถือว่าสินค้าพิพาทมีจำนวนหน่วยการขนส่งเป็นถังตามที่ระบุไว้ ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 59 (1) ส่วนใบตราส่งเป็นเพียงใบตราส่งที่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ขนส่งอื่นออกให้แก่บริษัทฮาร์พัค-ลอยด์ (เอส) พีทีอี จำกัดซึ่งเป็นผู้ขนส่งอื่นที่มาว่าจ้างจำเลยที่ 3 ให้ขนส่งสินค้าพิพาทอีกทอดหนึ่ง จึงเป็นใบตราส่งที่ออกให้ระหว่างผู้ขนส่งอื่นด้วยกัน หาอาจนำมาใช้ยันผู้ส่งของหรือโจทก์ได้ไม่ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนี้ชอบแล้ว
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,000 บาท แทนโจทก์

Share