คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 683/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่ดีบุกในที่พิพาท จึงมีสิทธิใช้ที่พิพาทนั้นเพื่อกิจการเหมืองแร่แต่เพียงผู้เดียว แม้ต่อมาจำเลยเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยและปลูกต้นไม้ในที่พิพาท แต่เมื่อจำเลยมิใช่ผู้ถืออาชญาบัตร ประทานบัตรชั่วคราวประทานบัตรหรือผู้รับใบอนุญาตจากทางราชการ จำเลยจึงต้องห้ามมิให้เข้าไปยึดถือครอบครองที่พิพาทโดยผลของ พระราชบัญญัติ แร่ฯ จำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท แม้ทางราชการจะออกทะเบียนบ้านระบุเลขที่บ้านหลังที่จำเลยเข้าไปปลูกอยู่อาศัยก็ตาม จำเลยจะนำทะเบียนบ้านมาเป็นหลักฐานอ้างสิทธิว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทยันโจทก์หาได้ไม่ เนื่องจากทะเบียนบ้านมิใช่เป็นหลักฐานแห่งการครอบครองที่ดิน การที่โจทก์ได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่ไม่ทำให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดิน เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินประทานบัตรของโจทก์จึงไม่ใช่เรื่องฟ้องเรียกสิทธิครอบครองคืนจากผู้แย่งสิทธิครอบครองโจทก์จึงไม่ต้องฟ้องขับไล่จำเลยภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่จำเลยเข้าไปอยู่ในที่พิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ถือสิทธิประทานบัตรทำเหมืองแร่เลขที่20275/13405 ตั้งอยู่ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงาเนื้อที่ 214 ไร่เศษโจทก์ครอบครองดูแลรักษาตลอดมา เพื่อดำเนินการขุดหาแร่ต่อไป จำเลยได้บุกรุกเข้าไปปลูกโรงเรือนในที่ดินดังกล่าวประมาณ 30 ตารางวา ต่อมาจำเลยได้ล้อมรั้วและปลูกต้นไม้เกินไปจากเดิมอีก รวมเป็นเนื้อที่ประมาณ 8 ไร่ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและรั้วออกไปจากที่ดินประทานบัตรของโจทก์แล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไป พร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินประทานบัตรของโจทก์และใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์จากการใช้ที่ดินพิพาทเดือนละ2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดิน
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์จะเป็นนิติบุคคลหรือไม่นายมนัส กุลวานิช จะเป็นกรรมการบริษัทโจทก์และมีอำนาจทำการแทนโจทก์หรือไม่ โจทก์จะเป็นผู้ถือสิทธิตามประทานบัตรดังฟ้องหรือไม่และที่ดินที่จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์จะเป็นที่ดินในสิทธิครอบครองของโจทก์หรือไม่ จำเลยไม่ทราบ และไม่รับรอง หากที่พิพาทเป็นที่ดินในสิทธิครอบครองของโจทก์จริง จำเลยก็เข้าครอบครองทำประโยชน์ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่าหนึ่งปีแล้ว โจทก์ไม่ฟ้องเรียกที่พิพาทคืนภายในหนึ่งปีจึงขาดอายุความฟ้องร้อง เนื้อที่พิพาทเกินความจริง จำเลยไม่เคยบุกรุกเข้าล้อมรั้วและปลูกต้นไม้ในที่ดินเพิ่มขึ้นจากที่ยึดถือครอบครองอยู่เดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินประทานบัตรที่ 20275/13405 ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงาของโจทก์พร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปด้วย คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเป็นประการแรกว่า การที่จำเลยเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัย และปลูกต้นไม้อยู่ในที่พิพาทเพื่อจะยึดถือครอบครองที่พิพาทเอาเป็นของตน จำเลยได้สิทธิครอบครองในที่พิพาทโดยการแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375หรือไม่ โจทก์มีนายมนัส กุลวานิช นายรวยชัย สุขวโรดมนายวิเชียร ธำรงเกียรติกุล และนายอานนท์ โรจนานนท์ เบิกความเป็นพยานบุคคล กับมีประทานบัตรเอกสารหมาย จ.2 เป็นพยานเอกสารนำสืบฟังได้ว่า ทางราชการโดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประทานบัตรเลขที่ 20275/13405 ให้โจทก์เป็นผู้ถือสิทธิทำเหมืองแร่ดีบุกในที่ดินหมู่ที่ 2 ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงาเนื้อที่ 214 ไร่ 55 ตารางวา เป็นเวลา 9 ปี นับแต่วันที่ 27พฤษภาคม 2526 ถึงวันที่ 26 พฤษภาคม 2535 จากการที่โจทก์เป็นผู้ได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่ดีบุกในพื้นที่ดังกล่าวนี้เองโดยของพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 73 และมาตรา 12 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษโจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิใช้ที่ดินในเขตเหมืองแร่นั้นทั้งแปลงเพื่อกิจการเหมืองแร่ของโจทก์แต่ผู้เดียว ผู้ใดจะเข้าไปยึดถือครอบครอง ทำลายหรือทำให้เสื่อมสภาพพื้นที่หรือทรัพยากรในเขตนั้นไม่ได้ เมื่อข้อเท็จจริงรับกันว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์ได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่จากทางราชการโดยผลของกฎหมายดังกล่าว โจทก์แต่ผู้เดียวเป็นผู้มีสิทธิใช้ที่พิพาทนั้นเพื่อกิจการเหมืองแร่ของโจทก์ จำเลยแม้จะเป็นผู้เข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยและปลูกต้นไม้นานาชนิดในที่พิพาทเพื่อต้องการจะถือสิทธิครอบครองในที่พิพาท แต่จำเลยก็มิใช่ผู้ถืออาชญาบัตร ประทานบัตรชั่วคราว ประทานบัตรหรือผู้รับใบอนุญาตจากทางราชการให้เข้าไปยึดถือครอบครองที่พิพาทได้โดยชอบ จำเลยจึงเป็นผู้ต้องห้ามมิให้เข้าไปยึดถือครอบครองที่พิพาทโดยบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติแร่พ.ศ. 2510 มาตรา 12 จำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทจริงอยู่ แม้จำเลยจะต่อสู้ว่าทางราชการได้ออกทะเบียนบ้านระบุเลขที่บ้านหลังที่จำเลยเข้าไปปลูกอยู่ในที่พิพาทให้จำเลยแล้วตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ล.1 ก็ตาม แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าทางราชการได้อนุญาตให้จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่พิพาทได้โดยชอบ เพราะทะเบียนบ้าน มิใช่หลักฐานแห่งการครอบครองที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินหากแต่เป็นเพียงทะเบียนประจำบ้านแต่ละบ้านซึ่งแสดงรายการของคนทั้งหมดผู้อยู่ในบ้านหลังนั้น ๆ ตามที่พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2499 มาตรา 4(2) บัญญัติคำนิยามไว้เมื่อทะเบียนบ้านไม่ใช่หลักฐานแห่งการครอบครองที่ดิน จำเลยจะถือเอาประโยชน์จากการที่ทางราชการออกทะเบียนบ้านหลังที่จำเลยเข้าไปปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทตามเอกสารหมาย ล.1 มาเป็นหลักฐานเพื่ออ้างสิทธิว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทยันโจทก์หาได้ไม่ และการที่โจทก์ได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่ไม่ทำให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินเขตประทานบัตร กรณีจึงไม่ใช่เรื่องฟ้องเรียกคืนสิทธิครอบครองจากผู้แย่งการครอบครองโจทก์จึงไม่จำต้องฟ้องขับไล่จำเลยเสียภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่จำเลยเข้าไปอยู่ในที่พิพาทตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสองบัญญัติบังคับไว้ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ขับไล่จำเลย และบริวารออกจากที่พิพาทเสียนั้น ชอบแล้ว คดีไม่มีความจำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นตามที่จำเลยฎีกาขึ้นมาอีกต่อไป ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share