คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 701/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

บิดาโจทก์ตกลงซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลย และจำเลยได้ใช้เชือกวัดและปักหลักเขตที่ดินพิพาทให้ทั้งสี่มุมตั้งแต่ในวันตกลงซื้อขายบิดาโจทก์ได้ล้อมรั้วและปรับที่ดินพิพาทพร้อมที่จะปลูกบ้านอยู่อาศัยได้เป็นเวลานานหลายปีมาแล้วจำเลยไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ต่อมาบิดาโจทก์ยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ และโจทก์ได้เข้าครอบครองตลอดมา โจทก์จึงได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินที่พิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า เนื้อที่ประมาณ 84 ตารางวา ตั้งอยู่หมู่ที่ 7 ตำบลนอกเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ มีขนาดและอาณาเขตตามแผนที่ท้ายฟ้องโจทก์ยึดถือครอบครองทำประโยชน์มาเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว เมื่อต้นปี 2530 จำเลยได้นำเจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัด เพื่อออกโฉนดที่ดินของจำเลยคลุมทับที่ดินพิพาทของโจทก์ โดยมีเจตนาแย่งเอาที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โจทก์ห้ามปรามแล้ว แต่จำเลยกลับโต้แย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 15 และเลขที่ 127 ของจำเลย เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์มีสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องหรือโต้แย้งอีกต่อไปและให้ไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เลขที่ 15และ 127 ในส่วนที่พิพาทให้โจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของจำเลย จำเลยครอบครองโดยสงบและเปิดเผยในฐานะเจ้าของมาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 20 ปีโดยให้ผู้มีชื่อเช่าทำนามาทุกปี โจทก์ไม่เคยเข้าเกี่ยวข้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 127 ตำบลนอกเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์จังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่ประมาณ 84 ตารางวา มีอาณาเขตทิศเหนือยาว21.20 เมตร จดที่ดินจำเลย ทิศใต้ยาว 25.20 เมตร จดที่ดินนายชูชีพ งามเลิศ ทิศตะวันออกยาว 15.70 เมตร จดทางสาธารณประโยชน์และทิศตะวันตกยาว 13.60 เมตร จดที่ดินจำเลย เป็นของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไปและให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยก น.ส.3 ดังกล่าวในส่วนที่ดินพิพาทให้โจทก์หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ปัญหาวินิจฉัยต่อไปมีว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ ข้อนี้จำเลยฎีกาว่านายล้วนบิดาโจทก์ยังมิได้ตัดสินใจเลือกและเข้าครอบครองที่ดินพิพาทเพราะยังชำระราคาที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยไม่ครบถ้วน เห็นว่าในการชำระราคาที่ดินพิพาทที่จำเลยนำสืบอ้างว่าบิดาโจทก์ตกลงซื้อที่ดินพิพาทในราคา 22,000 บาทมิใช่ในราคา 8,500 บาท ตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.1 ที่โจทก์อ้างและนำสืบเป็นพยานนั้น จำเลยมีแต่ตนเองเพียงคนเดียวเบิกความลอย ๆ และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เคยทวงถามบิดาโจทก์ให้ชำระราคาที่ดินที่ยังเหลือ หรือได้บอกเลิกสัญญากับบิดาโจทก์เพราะเหตุไม่ผ่อนชำระราคาที่ดินตามสัญญาแต่อย่างใดไม่ ที่จำเลยเบิกความว่าเงินจำนวน 4,500 บาท ตามใบเสร็จรับเงินแผ่นที่ 2 เป็นการชำระค่างวดของเดือนกรกฎาคมถึงเดือนพฤศจิกายนก็ขัดแย้งกับข้อนำสืบของจำเลยเองเชื่อไม่ได้เพราะค่างวดของเดือนดังกล่าวรวม5 เดือน เดือนละ 600 บาท จะเป็นเงินทั้งสิ้นเพียง 3,000 บาทเท่านั้น ในเรื่องการครอบครองข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่า ที่ดินพิพาทอยู่ติดกับที่ดินแปลงที่จำเลยตกลงขายให้แก่นายชูชีพ และอยู่ใกล้กับที่ดินแปลงอื่น ๆ ของจำเลยที่ตกลงขายให้แก่นายดาบตำรวจจำเนียรนางอบเชย นายศุภวัตร นางสาวคำผ่อง และนายสุกิจ โจทก์นอกจากจะมีนางเอนมารดาโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า จำเลยได้ใช้เชือกวัดและปักหลักเขตที่ดินพิพาทให้ทั้งสี่มุมตั้งแต่ในวันตกลงซื้อขาย แล้วยังมีนายชูชีพนายดาบตำรวจจำเนียร นางอบเชยนายศุภวัตร นางสาวคำผ่อง นายสุกิจ และนายพุทธิ สุภิมารสผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 7 ซึ่งที่ดินพิพาทตั้งอยู่ เป็นพยานเบิกความยืนยันสอดคล้องกันว่า จำเลยไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทบิดาโจทก์ได้ล้อมรั้วและปรับที่ดินพิพาทพร้อมที่จะปลูกบ้านอยู่อาศัยได้เป็นเวลานานหลายปีมาแล้ว ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share