คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6828/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 5 ปี รวม 101 กระทง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงมาว่า จำเลยถูกจำคุกในคดีเดิม 12 คดี รวมกันมีกำหนด 20 ปี ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยถูกจำคุกมา 74 ปี นั้น ปัญหาที่ว่าจำเลยถูกจำคุกในคดีเดิมมาเป็นเวลาเท่าไร จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้อีกหรือไม่ ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นข้าราชการตำรวจ ยศนายดาบตำรวจตำแหน่งผู้บังคับหมู่ประจำแผนกการเงินและพัสดุ กองกำกับการ 1 กองกำลังพล กรมตำรวจ (ปัจจุบันเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) มีหน้าที่รับผิดชอบจัดซื้อ จัดหาพัสดุครุภัณฑ์ การซ่อมแซมครุภัณฑ์การเบิกจ่ายเงินค่าซ่อมแซม รวมทั้งค่าเช่าครุภัณฑ์ อาคารและสถานที่ ค่าวัสดุพิมพ์งานในความรับผิดชอบ โดยในการจัดซื้อจัดหาพัสดุและครุภัณฑ์นั้น จำเลยมีหน้าที่จัดทำใบสั่งซื้อและเอกสารต่าง ๆ ประกอบการอนุมัติจัดซื้อวัสดุ และเป็นผู้ติดต่อกับร้านค้าที่เสนอราคาที่ต่ำสุดให้มารับใบสั่งซื้อวัสดุ และเมื่อร้านค้าผู้ขายนำวัสดุสิ่งของมาส่งแล้ว จำเลยมีหน้าที่ลงลายมือชื่อรับสินค้าในใบส่งของและใบแจ้งหนี้ของร้านค้าผู้ขาย และจำเลยมีหน้าที่แจ้งคณะกรรมการตรวจรับการซื้อวัสดุทำการตรวจรับสินค้าวัสดุที่จัดซื้อ กับลงรายการในทะเบียนรับวัสดุ และจัดส่งวัสดุที่จัดซื้อเข้าทะเบียนพัสดุของกองกำลังพล กรมตำรวจ เมื่อระหว่างวันที่ 3 ตุลาคม 2531 ถึงวันที่ 11 สิงหาคม2532 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกันวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยปลอมเอกสารเกี่ยวกับการจัดซื้อกระดาษอัดสำเนา ผงหมึก กระดาษไข กระดาษไขปรุ ผงโทนเนอร์ถ่ายเอกสาร กระดาษไขคอมพิวเตอร์ หมึกอัดสำเนา หมึกโรเนียว แฟ้มทำเนียบ กระดาษคาร์บอน ผ้าพิมพ์คอมพิวเตอร์ แฟ้มเจาะรู แฟ้มอ่อน แฟ้มยืด แฟ้มเสนองาน ยางลบหมึก ยางลบดินสอ สมุดปกแข็ง ลวดเย็บกระดาษ ลวดเสียบกระดาษ คลิปหนีบกระดาษ ผ้าหมึกพิมพ์ดีด ผ้าหมึกเครื่องคิดเลข ซองถุงสีน้ำตาลขยายข้าง แผ่นใสพร้อมกรอบ ไม้บรรทัดที่เย็บกระดาษ เข็มปรุกระดาษไข เครื่องรันนิ่งนัมเบอร์ แฟ้มเสนอเซ็น ผงแม่เหล็กถ่ายเอกสาร น้ำยาลบกระดาษไข เครื่องเจาะกระดาษ ที่ถอนลวดเย็บกระดาษ หมึกเติมแท่นประทับตรา สก๊อตเทปใสพร้อมที่ตัดในตัว เครื่องเหลาดินสอ เชือกพลาสติก เชือกป่าน เป็กทองเหลือง ปกเก็บเรื่อง แฟ้มแขวนตู้เอกสาร แฟ้มสันหนา ดินสอ ซองพับซองขาวพับ แผ่นรองเขียน กระดาษไข ปากกาเขียนกระดาษไข แท่นประทับตรา แผ่นดิสเก็ต สมุดปกแข็ง เครื่องเจาะกระดาษ กระดาษถ่ายเอกสาร รวมราคา 1,915,515บาท โดยปลอมลายมือชื่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจลงชื่อในเอกสารขออนุมัติจัดซื้อ แล้วนำไปดำเนินการจัดซื้อวัสดุที่จัดซื้อดังกล่าวจากบริษัทโรงงานอุตสาหกรรมกระดาษบางปะอินจำกัด ร้านวรเทพ ร้านสินสยาม ร้าน อ.สหชัยสเตชั่นเนอรี่ ร้านอุดมภัณฑ์ ร้านสินไพบูลย์เทรดดิ้ง ร้านชัชพล ร้านอาทรพาณิชย์ โดยจำเลยปลอมลายมือชื่อกรรมการตรวจรับและรับสินค้าวัสดุที่จัดซื้อดังกล่าวแล้วไม่ลงรายการในทะเบียนรับวัสดุและไม่จัดส่งวัสดุที่จัดซื้อเข้าทะเบียนพัสดุของกองกำลังพล กรมตำรวจ (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ผู้เสียหาย แต่กลับเบียดบังเอาทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนโดยทุจริตเป็นเหตุให้กรมตำรวจ(สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ได้รับความเสียหายจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 15 – 23/2537 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 157, 161, 91 นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีดังกล่าว กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 1,951,515 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การรับสารภาพ

จำเลยยื่นคำร้องว่า ก่อนฟ้องคดีนี้จำเลยเคยถูกฟ้องและถูกศาลพิพากษาลงโทษมาแล้ว 12 สำนวนตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7049/2533 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3818/2534 ของศาลอาญา คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 15 – 23/2537 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3058/2537 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ รวมทุกคดีคงจำคุก20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(2) จำเลยเพิ่งพ้นโทษเมื่อวันที่ 29 เมษายน2544 คดีนี้กับคดีก่อนทั้ง 12 สำนวน เป็นความผิดเกี่ยวพันกัน มีพฤติการณ์เดียวกันซึ่งโจทก์สามารถฟ้องจำเลยต่อศาลได้ก่อนจำเลยพ้นโทษ จึงเป็นการทำให้จำเลยต้องได้รับโทษเกินไปจากที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(2) บัญญัติไว้ ขอให้ยกฟ้อง

โจทก์รับว่า จำเลยเคยต้องโทษและพ้นโทษจริงตามคำร้องและไม่ประสงค์จะนับโทษคดีนี้ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 15 – 23/2537 ของศาลอาญากรุงเทพใต้

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 161, 91 เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว ไม่จำต้องปรับบทความผิดตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 101 กระทง เป็นจำคุก 505 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 252 ปี 6 เดือนแต่เนื่องจากประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) บัญญัติว่า เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกิน 50 ปี จึงให้จำคุกจำเลย 50 ปี ที่จำเลยขอให้รวมโทษจำคุกคดีก่อนเข้ากับโทษจำคุกคดีนี้เป็นจำคุก 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(2) นั้น ได้ความตามสำนวนว่า คดีนี้และคดีก่อนซึ่งจำเลยถูกฟ้องและศาลพิพากษาลงโทษและพ้นโทษแล้ว วันเวลาที่เกิดเหตุทุกคดีเกี่ยวเนื่องกัน สถานที่เกิดเหตุแห่งเดียวกัน ผู้เสียหายและจำเลยรายเดียวกัน คดีก่อนเป็นการกระทำความผิดในลักษณะเดียวกันกับคดีนี้อาจฟ้องเป็นคดีเดียวกันได้ กรณีจึงตกอยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) เมื่อรวมโทษของจำเลยในคดีก่อนเข้ากับโทษจำคุกจำเลยคดีนี้ คงจำคุก 50 ปี เนื่องจากจำเลยต้องโทษจำคุกคดีก่อนมาแล้ว 20 ปี เมื่อนำมาหักออกจากระยะเวลาจำคุกคดีนี้แล้ว คงจำคุก 30 ปี ทั้งนี้ให้เริ่มนับโทษจำคุกคดีนี้นับแต่วันพิพากษา ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 1,951,515 บาท แก่ผู้เสียหายคำขออื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า ในความผิดลักษณะเดียวกันและต่อเนื่องกันนี้โจทก์เคยฟ้องและศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว รวม 12 คดี รวมโทษจำคุกทั้งหมด 74 ปี เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ 50 ปี สามารถหักกลบลบกันได้ โดยจำเลยไม่ต้องรับโทษต่อไปนั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 5 ปี รวม 101 กระทง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนคดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง เมื่อคดีนี้ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงมาว่า จำเลยถูกจำคุกในคดีเดิม 12 คดี รวมกันมีกำหนด 20 ปี ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยถูกจำคุกมา 74 ปี นั้น ปัญหาที่ว่าจำเลยถูกจำคุกในคดีเดิมมาเป็นเวลาเท่าไร จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้อีกหรือไม่ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติข้างต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share