แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์ทำยอมโอนขายที่ดินให้จำเลยครึ่งแปลง โดยให้ถือเอาคำพิพากษาตามยอมเป็นการแสดงเจตนาแต่จำเลยกลับขอโอนที่ดินต่ออำเภอเป็นของจำเลยทั้งแปลงโจทก์จึงร้องต่อศาลชั้นต้นว่าการโอนไม่ถูกต้องตามยอมจำเลยก็ยืนยันว่าการโอนถูกต้องแล้วศาลก็มิได้สั่งประการใดโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ว่าการโอนในคดีก่อนไม่ถูกต้องตามยอม ขอให้เพิกถอน ดังนี้พอถือได้ว่าเป็นการกระทำขั้นบังคับคดีในคดีก่อนจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีที่ดิน 1 แปลงตกลงขายให้นายจับและจำเลยคนละครึ่งโดยขายให้นายจับทางทิศเหนือ จำเลยทางทิศใต้ เมื่อถึงกำหนดเวลาที่จะทำการโอนกัน โจทก์จำเลยได้ไปอำเภอตามนัด แต่นายจับไม่ไปสัญญาจึงทำกันไม่ได้ เพราะเหตุว่าการยื่นคำร้องขอขายและรังวัดกับประกาศได้ทำร่วมกันมาทั้งนายจับและจำเลย เมื่อสัญญาซื้อขายไม่ได้ทำกันทางอำเภอเช่นนี้จำเลยจึงฟ้องโจทก์ขอให้โอนที่ดิน โจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยโดยถือเอาคำร้องขอขายทางอำเภอเป็นหลัก จำเลยได้นำสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลไปทำสัญญาแต่ฝ่ายเดียว โดยโอนที่ดินทั้งส่วนเหนือและส่วนใต้ของโจทก์ทั้งหมดไปซึ่งเป็นการทุจริต โจทก์จึงได้บอกล้างการกระทำของจำเลยดังปรากฏตามคำบอกล้างของโจทก์ในคดีแพ่งแดงที่ 77/2501 ศาลเรียกตัวจำเลยมาศาล จำเลยก็เพิกเฉย ไม่ยอมปฏิบัติตามความเป็นจริง จึงต้องฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินที่จำเลยทำที่ว่าการอำเภอเป็นโมฆะขอให้เพิกถอน
จำเลยให้การว่า โจทก์ร้องขอขายที่ดินต่ออำเภอให้จำเลยแล้วไม่ยอมขายเกี่ยงจะเอาราคาเพิ่มขึ้น จำเลยจึงฟ้องโจทก์ตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 77/2501 ขอให้ขายที่ดินให้จำเลย จำเลยได้แสดงแผนทีที่ดินซึ่งโจทก์จะขายด้วย ในการต่อสู้คดีโจทก์มิได้ปฏิเสธแผนที่ มิหนำซ้ำยังยอมขายให้จำเลยตามแผนที่ท้ายฟ้อง คงเถียงเฉพาะเรื่องราคา โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะมาคัดค้านว่าสัญญาซื้อขายไม่ถูกต้อง หนังสือสัญญาซื้อขายได้ทำไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์หาได้มีอำนาจขอให้เพิกถอนไม่
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อที่โจทก์อ้างว่าขายที่ดินให้จำเลยเพียงครึ่งเดียวนั้น เมื่อจำเลยฟ้องโจทก์ให้โอนที่ดินตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 77/2501 โจทก์ก็มิได้โต้เถียงไว้ ภายหลังมีการกระทำสัญญาประนีประนอม ก็ต้องถือเอาสัญญาประนีประนอมเป็นหลัก เมื่อจำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอม แล้ว ย่อมถือได้ว่าจำเลยปฏิบัติโดยถูกต้องตามกฎหมาย คดีแพ่งแดงที่ 77/2501 ถึงที่สุดแล้วโจทก์จะรื้อฟื้นขึ้นอีกหาได้ไม่ เป็นการฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำไปโดยสุจริตถูกต้องตามกฎหมายและตรงตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วก็ไม่เป็นการละเมิดโจทก์ไม่เสียหายอย่างใด ไม่มีสิทธิฟ้องร้องขอถอนสัญญาขายที่ดินซึ่งอำเภอทำให้จำเลย จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ความจริงคดีนี้อยู่ในชั้นบังคับคดีเรื่องก่อนแต่โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นแล้ว ว่าการบังคับคดีไม่ถูกต้องตามคำพิพากษาท้ายยอม ศาลชั้นต้นควรจะสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อคู่ความไม่พอใจก็อาจจะอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งนั้นได้ตามกระบวนพิจารณา เมื่อศาลไม่สั่งโจทก์ก็ต้องนำคดีมาฟ้อง หากจะย้อนสำนวนไปให้ทำเสียให้ถูกต้อง ก็จะเป็นการเสียทรัพย์และเสียเวลาของคู่ความ การที่ศาลชั้นต้นรับพิจารณาพิพากษามาโดยลำดับเช่นนี้พออนุมานได้ว่าเป็นการกระทำชั้นบังคับคดี ศาลฎีกาจึงจะพิจารณาพิพากษาไปเลยทีเดียว
เรื่องนี้ โจทก์อ้างว่าการบังคับคดีผิดจากคำพิพากษาท้ายยอมซึ่งตามคำพิพากษาท้ายยอมในคดีแพ่งแดงที่ 77/2501 มีว่า “โจทก์จำเลยต่างตกลงกันให้ถือคำร้องซึ่งยื่นขอขายที่พิพาทคดีนี้ต่อทางอำเภอเป็นหลัก” คำร้องซึ่งยื่นขอขายในที่นี้ต้องหมายถึงเอกสาร จ.8 เพราะมีชื่อโจทก์ลงชื่อเป็นผู้ขอขาย จำเลยลงชื่อเป็นผู้ซื้อ ตามเอกสาร จ.8 ปรากฏชัดว่าจำเลยขอซื้อเพียงครึ่งเดียวขณะจำเลยไปทำการโอนนั้น โจทก์มิได้ไปด้วย เพราะโจทก์ตกลงให้จำเลยดำเนินการไปฝ่ายเดียว โดยให้ถือคำพิพากษาตามยอมเป็นเครื่องแสดงเจตนาของโจทก์ ศาลมีหนังสือถึงอำเภอให้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินให้โจทก์ อำเภอจึงได้โอนที่ของโจทก์ให้จำเลยหมดทั้งแปลงโดยอาศัยเอกสาร จ.6 (คือประกาศขายที่ดินของอำเภอซึ่งประกาศขายทั้งแปลง) ย่อมเห็นได้ว่าอำเภอโอนผิดกับคำพิพากษาท้ายยอมหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผิดกับคำร้องขอขายหมาย จ.8 ซึ่งจำเลยก็ทราบดีว่าตนซื้อเพียงครึ่งแปลง จำเลยจะยกเอาการที่อำเภอทำผิดจากคำพิพากษาท้ายยอมขึ้นอ้างไม่ได้
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยบังคับคดีได้เพียงครึ่งเดียวของที่พิพาททางทิศใต้