คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2339/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยฐานผิดสัญญาไม่ขายที่ดินให้โจทก์ โดยคำนวณจากผลกำไรทั้งหมดซึ่งโจทก์คาดหมายว่าจะขายที่ดินได้ในราคาสูงกว่าราคาที่ซื้อจากจำเลย แต่ความเสียหายที่โจทก์เรียกร้องนั้นเป็นเพียงความหวังของโจทก์โจทก์จะขายที่ดินได้ในราคานั้นหรือไม่ ไม่เป็นที่แน่นอน ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ แต่ที่ดินที่จะซื้อขายมีทางหลวงตัดผ่านไป พอคาดหมายได้ว่าต้องมีราคาเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นจากการไม่ชำระหนี้ของจำเลย ศาลมีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายให้ตามที่เห็นสมควร
แม้ศาลชั้นต้นจะใช้ดุลพินิจพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ไม่เหมาะสม จำเลยก็จะร้องมาในคำแก้อุทธรณ์และคำแก้ฎีกาเพื่อให้แก้ไขคำพิพากษาศาลล่างโดยมิได้อุทธรณ์ฎีกาหาได้ไม่ แต่ศาลฎีกามีอำนาจที่จะสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตลอดไปถึงของศาลล่างด้วย หากเห็นเป็นการสมควร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์ แล้วกลับผิดสัญญานำไปจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 ขอให้พิพากษาเพิกถอนการโอนที่ดิน และบังคับให้โอนขายแก่โจทก์ตามสัญญา ถ้าไม่สามารถโอนได้ ก็ให้จำเลยคืนมัดจำ 50,000 บาท ค่าเสียหาย 3,262,500 บาทและเงินค่าทดแทนอีก 36,250 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา

จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่า ได้ซื้อที่ดินรายพิพาทมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนเงินมัดจำ 50,000 บาท และชดใช้เบี้ยปรับ 200,000 บาท ให้โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ 1,000 บาทแทนโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินมัดจำ 50,000 บาท และเงินค่าปรับ 200,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา

ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2508 จำเลยที่ 1ได้ทำสัญญาจะขายที่พิพาทโฉนดเลขที่ 1659 ตำบลบางนา อำเภอพระโขนงจังหวัดพระนคร เนื้อที่ประมาณ 28 ไร่ 2 งาน 88 วา ให้โจทก์เป็นเงิน1,400,000 บาท แต่เป็นที่ดินที่มีพระราชบัญญัติเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงสายกรุงเทพ – ตราด ผ่านที่ดินแปลงนี้ โจทก์ได้ชำระเงินในวันทำสัญญาแล้ว 50,000 บาท อีก 200,000 บาท กำหนดชำระในเดือนพฤษภาคม 2508 ในการรับเงินจำนวนนี้ จำเลยที่ 1 จะต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ และจดทะเบียนบุริมสิทธิสำหรับเงินที่ค้างชำระ ซึ่งโจทก์จะต้องชำระภายใน 6 เดือน นับแต่วันจดทะเบียนบุริมสิทธิตามเอกสารหมาย จ.6 ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ขอแบ่งแยกที่ดินส่วนที่ถูกเวนคืนทำถนนสายกรุงเทพ – ตราดออก คงเหลือเนื้อที่ตามโฉนดเดิม 17 ไร่ 3 งาน 66 วา อีกแปลงหนึ่งอยู่คนละฝั่งถนนเป็นโฉนดที่ 38159เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 34 วาตามคำขอแบ่งแยกเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2508 แล้วจำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินทั้ง 2 โฉนดนั้นให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2508 เป็นเงิน 1,087,500 บาท ตามเอกสารหมาย จ.25 และรับเงินค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนเป็นทางหลวงเป็นเงิน 192,500 บาทแล้ว ตามเอกสารหมาย จ.28

ปัญหาตามฎีกาข้อแรกมีว่า โจทก์จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองได้หรือไม่

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดียังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 2 ได้ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริต และการซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 จะเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติทางหลวงหรือไม่เป็นเรื่องระหว่างกรมทางหลวงกับจำเลย หาใช่เป็นอำนาจหน้าที่ที่โจทก์จะยกขึ้นว่ากล่าวได้ไม่

ในเรื่องค่าเสียหาย โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ตกลงซื้อที่พิพาทราคาไร่ละ 50,000 บาท แต่จะขายได้อย่างต่ำไร่ละ 200,000 บาท เป็นกำไรรวม 3,062,500 บาท จำเลยจะต้องรับผิดชดใช้กำไรทั้งหมดนี้ให้โจทก์

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ เจ้าหนี้จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การนั้นก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 215 และเจ้าหนี้จะเรียกค่าสินไหมทดแทนได้แม้กระทั่งเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ หากว่าคู่กรณีได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว ตามมาตรา 222 วรรค 2 แต่คดีนี้ความเสียหายที่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เรียกร้องมานั้น เป็นเพียงความหวังของโจทก์เท่านั้นโจทก์จะขายที่พิพาทได้ในราคานั้นหรือไม่ ไม่เป็นที่แน่นอน ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ แต่ก็พอคาดหมายได้ว่า ที่พิพาทซึ่งมีทางหลวงตัดผ่านไปแล้วนั้น ต้องมีราคาเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นจากการไม่ชำระหนี้ของจำเลย ศาลมีอำนาจกำหนดให้ตามที่เห็นสมควร ศาลฎีกาเห็นว่าการที่ศาลได้กำหนดค่าปรับจำเลย 200,000 บาท เป็นจำนวนถึง 4 เท่าของเงินที่โจทก์วางไว้แก่จำเลยเพียง 50,000 บาท กับต้องคืนเงิน 50,000 บาทที่โจทก์วางไว้ด้วย เป็นการพอสมควรแก่ความรับผิดของจำเลยแล้ว

ส่วนเงินค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนสร้างทางหลวงที่จำเลยที่ 1 รับมา โจทก์เรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบให้โจทก์ด้วย เป็นเงิน 36,250 บาท ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อไม่มีการโอนขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 การหักค่าทดแทนที่ดินกับราคาที่พิพาทที่โจทก์จะต้องชำระให้จำเลยที่ 1 ก็ย่อมไม่เกิดขึ้น เป็นข้อวินิจฉัยที่ชอบด้วยทางพิจารณาแล้ว

ข้อที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ตามจำนวนทุนทรัพย์ 3,262,500 บาทที่โจทก์เรียกร้อง ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลเต็ม 50,000 บาทนั้น จำเลยกล่าวมาในคำแก้อุทธรณ์และคำแก้ฎีกาว่าศาลชั้นต้นกำหนดไม่ถูกต้อง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีเช่นนี้จำเลยจะร้องมาในคำแก้อุทธรณ์และคำแก้ฎีกาเพื่อให้แก้ไขคำพิพากษาศาลล่าง โดยมิได้อุทธรณ์ฎีกาหาได้ไม่ แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากเวลาศาลฎีกาพิพากษาคดี ศาลฎีกามีอำนาจที่จะสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตลอดไปถึงของศาลล่างด้วย ฉะนั้นศาลฎีกาจึงเห็นสมควรที่จะพิเคราะห์โดยอาศัยอำนาจนี้ ซึ่งพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ศาลชั้นต้นกำหนดค่าฤชาธรรมเนียมยังไม่เป็นการเหมาะสมเพราะโจทก์ชนะคดี จำนวนทุนทรัพย์เพียง 250,000 บาท กับดอกเบี้ยในเงินจำนวนนี้เท่านั้น ไม่เต็มตามฟ้อง และเมื่อคำนึงถึงข้อเรียกร้องของโจทก์ในมูลฐานแห่งคดีนี้แล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าขึ้นศาลแทนโจทก์เท่าที่ชนะคดี

พิพากษายืน แต่ค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ 1 ใช้แทนโจทก์เท่าที่โจทก์ชนะคดี

Share