แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรมราชทัณฑ์จำเลยจ้างเหมาโจทก์ให้ก่อสร้างตึกโรงพิมพ์ แม้จะปรากฏว่าในการก่อสร้างรายนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งแต่งตั้งให้ข้าราชการของกรมโยธาเทศบาลเข้าร่วมเป็นกรรมการอำนวยการสร้าง กรรมการเปิดซองประกวดราคา และกรรมการอื่นอีกหลายคณะ แต่ก็เป็นกรรมการเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งแต่งตั้งของผู้บังคับบัญชา เพื่อให้งานก่อสร้างของทางราชการดำเนินไปโดยเรียบร้อย หาใช่เป็นเรื่องที่จำเลยมอบหมายหรือแต่งตั้งให้ข้าราชการกรมโยธาเทศบาลหรือกรมโยธาเทศบาลเป็นตัวแทนของจำเลย หรือเป็นคู่สัญญาแทนจำเลยไม่การที่คณะกรรมการเปิดซองประกวดราคา โดย ธ. หัวหน้ากองก่อสร้างกรมโยธาเทศบาลขอให้โจทก์ลดเวลาก่อสร้างลง ซึ่งโจทก์ยินยอมโดยขอให้กองก่อสร้างอำนวยความสะดวกในการจัดซื้อวัสดุในการก่อสร้างบางอย่างให้นั้น จึงหาใช่เงื่อนไขอันหนึ่งซึ่งเสมือนสัญญาที่จะผูกพันให้จำเลยต้องปฏิบัติตามไม่
โจทก์ทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญา และจำเลยได้บอกเลิกสัญญาแล้ว ตามสัญญาให้อำนาจจำเลยริบการงานที่ทำไว้แล้วได้รวมทั้งจัดให้ผู้อื่นเข้าทำการงานนั้นต่อไป โดยผู้รับจ้างเหมายอมใช้ค่าเสียหายให้ทั้งสิ้น ดังนั้นบรรดาสัมภาระและวัสดุที่เหลืออยู่ในที่ก่อสร้างเป็นส่วนหนึ่งของการงานที่โจทก์ทำค้างไว้ จำเลยจึงมีสิทธิที่จะริบได้ ส่วนเครื่องผสมคอนกรีตมิใช่การงานที่ได้ทำไว้ แต่เป็นเครื่องใช้หรือเครื่องมือในการประกอบการงานของโจทก์เท่านั้น จำเลยหาอาจริบได้ไม่
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นได้พิจารณาพิพากษารวมกัน
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้จัดให้มีการประกวดราคาก่อสร้างตึกโรงพิมพ์ของเรือนจำกลางคลองเปรม โจทก์เป็นผู้ประมูลราคาตึกโรงพิมพ์สองหลังได้ในราคาหลังละ 880,000 บาท จำเลยหรือตัวแทนจำเลยคือเจ้าหน้าที่กองก่อสร้าง กรมโยธาเทศบาล มีหน้าที่ต้องจัดซื้อเหล็กเส้นขนาด 1 นิ้ว 1 นิ้ว 2 หุน ปูนซีเมนต์ กระเบื้องมุงหลังคาและฝ้าเพดานที่ใช้ในการก่อสร้างจากบริษัทปูนซีเมนต์ไทยจำกัดมาให้โจทก์ แต่จำเลยทำผิดข้อตกลง จัดหาซื้อเหล็กขนาด 1 นิ้วและปูนซีเมนต์ส่งให้โจทก์ชักช้า เป็นเหตุให้งานในงวดที่ 1 และงวดที่ 2 ช้ากว่ากำหนดเวลาไป 2 เดือนเศษ และจำเลยไม่สามารถจัดซื้อเหล็ก 1 นิ้ว 2 หุนให้โจทก์เพื่อใช้งานในงวดที่ 3 เพราะบริษัทปูนซิเมนต์ไม่มีจำหน่าย โจทก์ขอต่ออายุสัญญาไปอีก 150 วัน จำเลยยอมต่อให้เพียง 90 วัน และตอบให้โจทก์ทราบเมื่อใกล้จะสิ้นระยะเวลาที่ยอมต่อให้นั้น โจทก์ไม่ยินยอมยืนยันขอต่ออายุสัญญา 150 วัน จำเลยกลับบอกเลิกสัญญาอ้างว่าโจทก์เป็นผู้ผิดสัญญา หลังจากบอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยได้ละเมิดยึดเอาทรัพย์สิ่งของเครื่องมือเครื่องใช้ในการก่อสร้างของโจทก์เป็นเงิน 300,036 บาทเอาเป็นของจำเลย การเลิกสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์ขาดผลกำไรที่จะได้รับจากการรับเหมาก่อสร้างเป็นเงิน 352,000 บาท โจทก์ได้รับเงินค่าก่อสร้างงานงวดที่ 1 ที่ 2 จากจำเลยเป็นเงิน 70,000 บาท แต่งานก่อสร้างของโจทก์แล้วเสร็จไปเกินกว่างานงวดที่ 2 คิดเป็นเงิน 795,690 บาทรวมเป็นค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องชดใช้ให้โจทก์ทั้งสิ้น 1,447,726 บาทขอให้บังคับจำเลยใช้เงินจำนวนดังกล่าว พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยตกลงยินยอมรับเป็นผู้ซื้อวัสดุก่อสร้างให้โจทก์ โจทก์ทำงานล่าช้า ทอดทิ้งงานจนเป็นที่เห็นได้ว่าไม่มีทางที่จะก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามสัญญาจำเลยจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญา มีอำนาจริบเครื่องมือเครื่องใช้ตลอดจนสิ่งของของโจทก์ในที่ก่อสร้างได้ตามสัญญา
สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ตกลงรับเหมาก่อสร้างตึกโรงพิมพ์ 2 หลังจากโจทก์ โดยคิดราคาทั้งค่าสิ่งของและค่าจ้างหลังละ 880,000 บาท จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาจ้างเหมาของจำเลยที่ 1 ให้ไว้ต่อโจทก์ ภายในวงเงินไม่เกิน 88,000 บาท จำเลยที่ 1 ได้ผิดสัญญาไม่ก่อสร้างตึกโรงพิมพ์ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดสัญญา โจทก์จึงใช้สิทธิเลิกสัญญา ริบเงินประกันตามสัญญา และได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 นำเงิน 88,000 บาท ตามสัญญาค้ำประกันไปชำระให้โจทก์ จำเลยที่ 2 ไม่ชำระหลังจากบอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์ได้ประกวดราคารับจ้างเหมาก่อสร้างตึกโรงพิมพ์ทั้งสองหลังที่จำเลยที่ 1 สร้างไม่เสร็จนั้นบริษัทสุนทราภาก่อสร้างเป็นผู้ประมูลได้โจทก์ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีก 561,735 บาท จำเลยที่ 1 รับเงินไปจากโจทก์แล้ว 700,000 บาทแต่ผลงานที่จำเลยทำได้คิดเป็นเงิน 562,000 บาทโจทก์จึงจ่ายเงินให้จำเลยที่ 1 เกินไป 138,000 บาท และจำเลยที่ 1 ต้องชำระค่าปรับที่ก่อสร้างไม่เสร็จภายในกำหนดเวลาคิดเป็นรายวันวันละ 1,000 บาทมีกำหนด 30 วัน เป็นเงิน 30,000 บาท รวมเป็นเงินค่าเสียหายและค่าปรับที่จำเลยที่ 1 จะต้องชดใช้ให้โจทก์รวม 729,735 บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายและค่าปรับพร้อมทั้งดอกเบี้ย 752,768.82 บาท ให้จำเลยที่ 2 รับผิดใช้เงิน 88,000 บาทในยอดเงินที่กล่าวแล้วให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การทำนองเดียวกันคำฟ้องโจทก์สำนวนแรก
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้ประพฤติผิดสัญญาอันโจทก์จะมีสิทธิริบเงินประกัน โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาต่อจำเลยที่ 1
ชั้นพิจารณา ศาลชั้นต้นกำหนดให้เรียกบริษัทประพันธ์ จำกัดและบริษัทธนาคารแหลมทอง จำกัด เป็นโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ และเรียกกรมราชทัณฑ์เป็นจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ที่ 1 ชำระเงิน 591,735 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี คิดจากยอดเงิน 561,735 บาทตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2501 และคิดจากยอดเงิน 30,000 บาทนับแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2500 จนถึงวันชำระเสร็จให้จำเลย
บริษัทประพันธ์ จำกัด โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์อย่างคนอนาถาทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้กรมราชทัณฑ์จำเลยใช้เงิน 647,484.50 บาทแก่บริษัทประพันธ์ จำกัด โจทก์ที่ 1 พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันบอกเลิกสัญญา (22 กรกฎาคม 2500) จนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยนำค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ที่ 1 ได้รับยกเว้นทั้งหมดในการอุทธรณ์อนาถามาชำระต่อศาลในนามโจทก์ที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 158 ให้ยกฟ้องคดีหมายเลขดำที่ 1488/2501 ของศาลชั้นต้นที่กรมราชทัณฑ์เป็นโจทก์เสีย
บริษัทประพันธ์ จำกัด โจทก์ที่ 1 ฎีกาเฉพาะสำนวนแรก
กรมราชทัณฑ์จำเลยฎีกาทั้งสองสำนวน
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้ทำผิดสัญญา หากแต่โจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายประพฤติผิดสัญญานั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะปรากฏว่าในการก่อสร้างรายนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งแต่งตั้งให้ข้าราชการของกรมโยธาเทศบาลเข้าร่วมเป็นกรรมการอำนวยการสร้าง กรรมการควบคุมและตรวจการสร้าง กรรมการรับของประกวดราคา และกรรมการเปิดซองประกวดราคาด้วยแต่ก็เป็นกรรมการเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งแต่งตั้งของผู้บังคับบัญชา เพื่อให้งานก่อสร้างของทางราชการดำเนินไปโดยเรียบร้อย หาใช่เป็นเรื่องที่จำเลยมอบหมายหรือแต่งตั้งให้ข้าราชการกรมโยธาเทศบาล หรือกรมโยธาเทศบาลเป็นตัวแทนของจำเลย หรือเป็นคู่สัญญาแทนจำเลยไม่ การที่คณะกรรมการเปิดซองประกวดราคา โดยนายเธียร ภัทรจันทร์ หัวหน้ากองก่อสร้าง ขอให้โจทก์ที่ 1 ลดเวลาก่อสร้างลงให้เหลือเพียง 210 วัน โจทก์ที่ 1 ยินยอมนั้น ก็น่าเชื่อว่าเป็นเรื่องที่โจทก์ที่ 1 สมัครใจยอมลดเวลาให้เองโดยหวังที่จะได้ทำการก่อสร้างรายนี้ ตามบันทึกของโจทก์ที่ 1 ที่ขอให้กองก่อสร้างอำนวยความสะดวกในการจัดซื้อวัสดุในการก่อสร้างบางอย่างเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2499 นั้น มีข้อความเป็นเรื่องขอให้กองก่อสร้างอำนวยความสะดวกให้ ทั้งเมื่อจำเลยกับโจทก์ได้ทำสัญญาจ้างเหมากัน ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2499 ก็หาได้กำหนดหน้าที่จัดซื้อวัสดุในการก่อสร้างดังกล่าวแล้วให้เป็นหน้าที่ของจำเลย หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายจำเลยจัดหาให้ไม่ กลับปรากฏตามสัญญาจ้างเหมาข้อ 1 ว่า “ผู้รับจ้างเหมาสัญญาว่าจักจัดหาสิ่งของที่ดี ฯ เพื่อประกอบการก่อสร้างฯ” จึงเห็นได้ชัดว่า โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นผู้รับจ้างมีหน้าที่จัดหาสัมภาระในการก่อสร้าง โดยทางกองก่อสร้างกรมโยธาเทศบาลเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดซื้อเท่านั้น บันทึกของโจทก์ที่ 1 ที่ขอให้กองก่อสร้างอำนวยความสะดวกในการจัดซื้อวัสดุดังกล่าวแล้ว จึงหาใช่เงื่อนไขอันหนึ่งซึ่งเสมือนสัญญาที่จะผูกพันให้จำเลยต้องปฏิบัติตามดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาไม่ ส่วนปัญหาที่ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายประพฤติผิดสัญญานั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 ทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญา โจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาหาใช่จำเลยไม่ เมื่อโจทก์ที่ 1 ทำงานไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดสัญญา จำเลยก็มีสิทธิเลิกสัญญาได้ตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง ข้อ 2 มิพักต้องตักเตือนถึง 3 ครั้งตามสัญญาข้อ 6
เมื่อสัญญาเลิกกันแล้ว จำเลยจะมีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ที่ 1 จ่ายค่าปรับเป็นรายวันวันละ 1,000 บาท มีกำหนด 30 วันตามสัญญาข้อ 2 ได้หรือไม่ เห็นว่าตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง ข้อ 2 ระบุว่าหากผู้รับจ้างเหมาทำงานจ้างไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดผู้รับจ้างยอมให้ผู้ว่าจ้างเหมาปรับเป็นรายวัน วันละ 1,000 บาท มีกำหนด 30 วัน เมื่อครบกำหนด 30 วันแล้ว ผู้รับจ้างเหมายังทำไม่แล้วเสร็จผู้ว่าจ้างเหมามีสิทธิเลิกสัญญานี้ได้ทันที ดังนี้ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าหลังจากครบกำหนดที่จำเลยต่ออายุสัญญาให้แล้ว โจทก์ที่ 1ก็ยังทำงานไม่แล้วเสร็จ เลยเวลา 30 วัน จำเลยจึงมีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ที่ 1 ชำระค่าปรับวันละ 1,000 บาท มีกำหนด 30 วันตามสัญญา
ส่วนปัญหาที่ว่า จำเลยจะเรียกร้องให้โจทก์ที่ 1 ใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยได้เพียงใดนั้น ตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง ข้อ 2 ระบุว่า ถ้าผู้รับจ้างเหมาทำงานไม่แล้วเสร็จผู้ว่าจ้างเหมามีสิทธิเลิกสัญญาได้ทันที และจัดให้ผู้อื่นเข้าทำการต่อไป โดยผู้รับจ้างเหมายอมใช้ค่าเสียหายให้ทั้งสิ้น และข้อ 6 ระบุว่า ถ้าผู้รับจ้างทำผิดสัญญาซึ่งผู้ว่าจ้างเหมาเห็นว่าไม่มีหวังที่จะทำการให้แล้วเสร็จได้ในกำหนดเวลา ผู้ว่าจ้างเหมามีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้ค่าเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดให้แก่ผู้รับจ้างเหมาและริบเงินประกัน พร้อมทั้งการงานที่ทำไว้แล้วได้ แล้วจัดให้ผู้อื่นเข้าทำการงานต่อไป โดยผู้รับจ้างเหมายอมใช้ค่าเสียหายให้ทั้งสิ้น
ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยได้จ่ายเงินค่าก่อสร้างซึ่งเป็นผลงานงวดที่ 1 และที่ 2 ให้โจทก์ที่ 1 รับไปแล้วเป็นเงิน 700,000 บาท ส่วนงานงวดที่ 3 ยังไม่แล้วเสร็จและเมื่อบอกเลิกสัญญากันแล้วจำเลยได้ว่าจ้างบริษัทสุนทราภาก่อสร้าง จำกัด ดำเนินการก่อสร้างใช้สัมภาระและวัสดุที่ริบจากโจทก์ที่ 1 ได้ทั้งหมด เป็นเงินค่าก่อสร้าง 1,621,735 บาท โจทก์ที่ 1 รับเหมาก่อสร้างตึกโรงพิมพ์ดังกล่าวในราคา 1,760,000 บาท โจทก์ที่ 1 รับเงินไปแล้ว 700,000 บาท คงเหลือเงินอยู่ 1,060,000 บาท จำเลยต้องจ่ายเงินให้บริษัทสุนทราภาก่อสร้างเพิ่มขึ้นอีก 561,735 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้เป็นค่าเสียหายที่โจทก์ที่ 1 ต้องรับชดใช้ให้จำเลยตามสัญญาดังกล่าวแล้ว
สำหรับปัญหาที่ว่าจำเลยจะมีสิทธิริบสัมภาระและวัสดุในที่ก่อสร้างของโจทก์ที่ 1 ที่เหลืออยู่ในที่ก่อสร้างหรือไม่นั้น เห็นว่าตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างข้อ 6 ให้อำนาจจำเลยผู้ว่าจ้างริบการงานที่ทำไว้แล้วได้รวมทั้งจัดให้ผู้อื่นเข้าทำการงานนั้นต่อไป โดยผู้รับจ้างเหมายอมใช้ค่าเสียหายให้ทั้งสิ้น ศาลฎีกาเห็นว่า บรรดาสัมภาระและวัสดุที่เหลืออยู่ในที่ก่อสร้าง เว้นแต่เครื่องผสมคอนกรีตเป็นส่วนหนึ่งของการงานที่โจทก์ที่ 1 ทำค้างไว้จำเลยจึงมีสิทธิที่จะริบสัมภาระและวัสดุก่อสร้างเหล่านั้น ได้ตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างข้อ 6 ดังกล่าวแล้ว ส่วนเครื่องผสมคอนกรีต 2 เครื่องนั้น มิใช่การงานที่ได้ทำไว้ แต่เป็นเครื่องใช้หรือเครื่องมือในการประกอบการงานของโจทก์ที่ 1 เท่านั้น จำเลยจึงริบไม่ได้ แต่จำเลยได้ริบไปแล้ว จึงต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 และจำเลยยังโต้เถียงราคาเครื่องผสมคอนกรีตนี้อยู่ศาลเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายข้อนี้ให้โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 20,000 บาท ซึ่งคิดหักจากค่าเสียหายที่โจทก์ที่ 1 จะต้องใช้ให้จำเลยเป็นเงิน 561,735 บาทแล้ว คงเหลือเป็นยอดเงิน 541,735 บาท รวมกับค่าปรับวันละ 1,000 บาท มีกำหนด 30 วัน 30,000 บาทตามสัญญาเป็นเงิน 571,735 บาท
คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ 1 อีกต่อไป
พิพากษาแก้เป็นให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เว้นแต่ข้อที่ให้โจทก์ที่ 1 ชำระเงินให้จำเลย 591,735 บาทนั้น เป็นให้โจทก์ที่ 1 ชำระเงิน 571,735 บาทให้จำเลย และดอกเบี้ยที่ให้คิดจากยอดเงิน 561,735 บาทนั้น เป็นให้คิดจากยอดเงิน 541,735 บาทและให้คืนเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่กรมราชทัณฑ์จำเลยนำมาชำระต่อศาลในนามบริษัทประพันธ์ จำกัด โจทก์ที่ 1 ในการที่ได้รับยกเว้นในการอุทธรณ์อย่างคนอนาถาแก่กรมราชทัณฑ์จำเลย