คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323-1324/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำสัญญาให้จำเลยเช่าโรงสี 3 ปี กำหนดค่าเช่าไว้เดือนละ 3,000 บาทจำเลยอ้างว่าโจทก์จำเลยตกลงกันไว้ว่า ชั้นแรกคิดค่าเช่าเดือนละ 3,000 บาท แต่ต่อไปโจทก์จะลดให้เป็นเดือนละ 2,000 บาท และ 1,000 บาทตามลำดับ แล้วจำเลยนำสืบใบรับเงินค่าเช่าอันแสดงว่าในระยะหลังๆ นี้โจทก์เก็บค่าเช่าเพียงเดือนละ 2,000 บาท และ 1,000 บาท ดังนี้เป็นเรื่องจำเลยนำสืบว่าคู่สัญญาตกลงทำสัญญากันใหม่เป็นหนังสือแก้ไขหนังสือสัญญาเช่าเดิมเฉพาะเรื่องอัตราค่าเช่าอย่างเดียวจำเลยจึงนำพยานบุคคลมาสืบอธิบายถึงที่มาของใบรับเงินนี้ได้

ย่อยาว

สำนวนแรก นายสินเป็นโจทก์ฟ้องว่านายเลี่ยงจำเลยทำสัญญาเช่าโรงสีของโจทก์ 3 ปี นับแต่ 1 กรกฎาคม 2494 ค่าเช่ารายเดือน ๆ ละ 3,000 บาท หากเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดโดยโจทก์มิได้ผิดสัญญาจำเลยก็ต้องชำระค่าเช่าจนครบ 3 ปี ฯลฯ ต่อมาจำเลยผิดสัญญาโดยไม่ชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2502 ตลอดมา และไม่ต่อสัญญาประกันอัคคีภัย โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยได้ส่งมอบโรงสีคืนเมื่อเดือนเมษายน 2502 ฯลฯ ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเช่า 5 เดือนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนมิถุนายน 2502 ซึ่งเป็นเดือนครบกำหนดเช่า 3 ปี เป็นเงิน 15,000 บาท

จำเลยต่อสู้ว่าในสัญญาเช่าที่ว่า ค่าเช่าเดือนละ 3,000 บาทนั้นความจริงโจทก์จำเลยตกลงกันว่า ชั้นแรกเช่าเดือนละ 3,000 บาทเมื่อจำเลยปรับปรุงโรงสีให้มีประสิทธิ์ภาพดีขึ้น โจทก์จะลดค่าเช่าเป็นเดือนละ 2,000 บาท และถ้าปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นก็จะลดค่าเช่าเป็นเดือนละ 1,000 บาทตลอดไปดังนั้น โจทก์เก็บค่าเช่าเดือนกรกฎาคม 2499 ถึงเดือนมกราคม 2500 เดือนละ 3,000 บาท เดือนกุมภาพันธ์ 2500 เดือนละ 1,000 บาท ตามสำเนาใบรับเงินท้ายคำให้การ ฯลฯ และจำเลยยังฟ้องแย้งขอให้บังคับให้โจทก์ใช้เงินที่จำเลยได้เปลี่ยนแปลงต่อเติมโรงสีครึ่งหนึ่งตามสัญญาด้วย

ส่วนคดีหลัง นายเลี่ยงกลับเป็นโจทก์ฟ้องนายสินว่า ระหว่างโจทก์เช่าโรงสีของจำเลย ๆ ไม่มีใบอนุญาตโรงงานอุตสาหกรรมเจ้าพนักงานสั่งมิให้โจทก์ทำการสีข้าวเป็นเวลา 4 เดือน ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยใช้

นายสินให้การปฏิเสธ

ในการพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลเรียกนายสินว่าโจทก์นายเลี้ยงว่าจำเลย

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาโดยไม่ชำระค่าเช่าเดือนละ3,000 บาทตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2502 เป็นต้นมา จำเลยจึงต้องชำระค่าเช่าจนถึงเดือนมิถุนายน 2502 ซึ่งครบกำหนดเช่า 3 ปี รวม 5 เดือน15,000 บาท พิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวนนี้แก่โจทก์ กับให้โจทก์จำเลยใช้เงินแก่กันในรายการอื่น ๆ อีกด้วย

โจทก์จำเลยอุทธรณ์

ในเรื่องค่าเช่า ศาลอุทธรณ์ก็ยังคงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ในประเด็นเรื่องค่าเช่า ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนังสือสัญญาเช่าโรงสีได้กำหนดค่าเช่าไว้ว่า เดือนละ 3,000 บาท ถ้าเพียงเท่านี้จำเลยจะนำพยานบุคคลมาสืบว่ายังมีข้อตกลงกันเพิ่มเติมจากที่ปรากฏในหนังสือสัญญาไม่ได้ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) แต่เรื่องนี้จำเลยมีใบรับเงินค่าเช่าของโจทก์มาแสดงว่า ค่าเช่าเดือนกรกฎาคม 2499 ถึงเดือนมกราคม 2500 อัตราค่าเช่าเดือนละ 3,000 บาท เดือนกุมภาพันธ์ 2500 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2501 เดือนละ 2,000 บาท เดือนมีนาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2501 เดือนละ 1,000 บาท ซึ่งโจทก์ก็รับว่าเป็นใบรับเงินค่าเช่าของโจทก์จริง จึงไม่ใช่เรื่องจำเลยนำพยานบุคคลมาสืบเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขหนังสือสัญญาเช่า หากเป็นเรื่องคู่สัญญาตกลงทำสัญญากันใหม่เป็นหนังสือแก้ไขหนังสือสัญญาเช่าเดิม เฉพาะเรื่องอัตราค่าเช่าอย่างเดียวเท่านั้น แม้ใบรับนี้จำเลยจะไม่ได้ลงนามแต่กฎหมายบังคับเพียงให้ผู้จะต้องรับผิดในสัญญาเป็นผู้ลงนามเท่านั้นก็ใช้ได้เพราะฉะนั้น จำเลยจึงนำพยานบุคคลมาสืบอธิบายถึงที่มาของใบรับเงินนี้ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบ เป็นอันว่าตั้งแต่เดือนมีนาคม 2501 เป็นต้นมา โจทก์จำเลยได้ตกลงกำหนดค่าเช่ากันใหม่เป็นลายลักษณะอักษรเหลือเดือนละ 1,000 บาท

ในที่สุดพิพากษาแก้ 3 รายการ เฉพาะรายการค่าเช่านี้ให้จำเลยชำระค่าเช่าเดือนกุมภาพันธ์ 2502 ถึงวันที่ 13 เมษายน 2502 เป็นเงิน2,400 บาท

Share