แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาท 2 ฉบับ กับเช็คอื่นอีก 22 ฉบับ เพื่อเป็นค่ามัดจำในการซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจาก ซ.แต่ซ.ถึงแก่กรรมเสียก่อนจึงมิได้ทำสัญญาซื้อขายกับจำเลย เช็คพิพาทตกอยู่ในความครอบครองของ ม. บุตรของ ซ. และ ม. ก็ไม่ยอมขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้จำเลย แต่กลับมอบเช็คพิพาทให้โจทก์เพื่อให้โจทก์นำมาฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาและเป็นคดีนี้การกระทำของโจทก์และ ม. จึงเป็นการคบคิดกันฉ้อฉลเพื่อทำให้จำเลยไม่สามารถอ้างข้อต่อสู้ที่มีต่อ ซ. และ ม. มายันโจทก์ในคดีนี้ได้ เมื่อความจริงมูลหนี้ตามเช็คพิพาทมิได้มีอยู่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 916 ประกอบมาตรา 989.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คซึ่งจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือเพื่อชำระหนี้ ธนาคารปฏิเสธการจ่าย โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 84,043.84 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า เช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิด โดยเช็คพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของเช็คจำนวน 24 ฉบับซึ่งจำเลยสั่งจ่ายเป็นการผ่อนค่ามัดจำการซื้อบ้านจากนายซีเอ นานาแต่นายซีเอ นานา ถูกคนร้ายฆ่าตายและยังไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายกันเช็คทั้ง 24 ฉบับดังกล่าว จึงอยู่ในครอบครองของนายมนูศักดิ์นานา ซึ่งเป็นทายาท และเนื่องจากการเจรจาซื้อขายบ้านระหว่างจำเลยกับนายมนูศักดิ์ นานา ไม่เป็นที่ตกลงกัน นายมนูศักดิ์ นานาไม่ยอมคืนเช็คพิพาทให้จำเลย และสมคบกับโจทก์นำมาฟ้องจำเลยขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค 80,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย แก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับกับเช็คอื่นอีก 22 ฉบับ เพื่อเป็นค่ามัดจำในการซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากนายซีเอ แต่นายซีเอถึงแก่กรรมจึงมิได้ทำสัญญาจะซื้อขายกับจำเลย และนายมนูศักดิ์บุตรชายนายซีเอ ก็ไม่ยอมขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้จำเลย ดังนั้น มูลหนี้ตามเช็คพิพาทจึงไม่เกิดขึ้น ที่โจทก์นำสืบว่าไม่รู้เห็นในเรื่องข้อตกลงขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างนายซีเอกับจำเลย แต่โจทก์ทราบจากนายมนูศักดิ์ว่าเช็คพิพาทจำเลยจ่ายให้เป็นชำระค่าเช่าตึกนั้น ข้อนำสืบดังกล่าวของโจทก์ก็มีพิรุธในเมื่อโจทก์เบิกความครั้งแรกว่าโจทก์สอบถามนายมนูศักดิ์ได้ความว่า เช็คพิพาทเป็นการผ่อนชำระค่าซื้อขายตึกซึ่งเจือสมพยานจำเลย แต่แล้วโจทก์กลับเบิกความใหม่ว่าเช็คพิพาทจ่ายให้เป็นการชำระค่าเช่าตึก นอกจากนี้ได้ความจากโจทก์เองว่าโจทก์เป็นทนายความให้นายซีเอ และนายมนูศักดิ์มานานประมาณ10 ปีแล้ว นายซีเอเคยเล่าให้โจทก์ฟังว่าจำเลยเช่าบ้านนายซีเออยู่ และเมื่อเกิดเพลิงไหม้บ้านดังกล่าว จำเลยก็ช่วยซ่อมให้โดยจำเลยออกค่าใช้จ่ายเองและมอบอำนาจให้นายชวลิตไปขออนุญาตซ่อมโจทก์ทราบจากนายมนูศักดิ์ว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คไว้ 3 ฉบับแต่ความจริงมีกี่ฉบับไม่ทราบ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าโจทก์ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับนายซีเอเป็นอย่างดีที่โจทก์ยืนยันว่าเช็คพิพาทเป็นการจ่ายค่าเช่าบ้านเลขที่ 23 ถนนอนุวงศ์ ที่จำเลยเช่าจากนายซีเอนั้น เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ และไม่มีเหตุผลให้เชื่อถือได้ เพราะตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย ล.14 นั้น ระบุว่าผู้เช่าต้องชำระค่าเช่าเป็นรายเดือนไม่เกินวันที่ 5 ของทุกเดือนและในการต่อสัญญาเช่าครั้งสุดท้ายด้านหลังเอกสารดังกล่าวก็ระบุค่าเช่าเดือนละเพียง 4,500 บาทเท่านั้น ไม่มีเหตุผลที่จำเลยจะต้องจ่ายค่าเช่าตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับซึ่งเป็นเงินรวมกันถึง 80,000บาท ในเมื่อสัญญาเช่าไม่ได้กำหนดให้จำเลยต้องจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าแต่ประการใด ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยจ่ายเช็คพิพาทเป็นค่าเช่าจึงรับฟังไม่ได้ ที่โจทก์เบิกความว่านายมนูศักดิ์มอบเช็คพิพาทให้โจทก์เป็นการชำระค่าจ้างว่าความนั้น หากเป็นจริงดังที่โจทก์กล่าวอ้างเมื่อโจทก์นำเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับไปขึ้นเงินไม่ได้โจทก์ก็น่าจะคืนเช็คพิพาทให้นายมนูศักดิ์และให้นายมนูศักดิ์จ่ายค่าจ้างว่าความให้โจทก์เป็นเงินสดหรือเป็นเช็คของนายมนูศักดิ์เองแทนเช็คพิพาท ไม่มีเหตุผลที่โจทก์จะต้องเสียเวลานำเช็คพิพาทไปฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาต่อศาลอาญาตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่13507/2528 ของศาลอาญา เมื่อศาลอาญามีคำพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์โจทก์ก็ยังนำเช็คพิพาทมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีก ทั้ง ๆ ที่โจทก์เบิกความขึ้นไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญาดังกล่าวว่าหากโจทก์ฟ้องคดีแล้วไม่ได้รับเงินนายมนูศักดิ์ก็จะชำระเงินแทน ตามพฤติการณ์น่าเชื่อว่าโจทก์รู้ถึงสาเหตุในการที่จำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้นายซีเอ เมื่อนายซีเอถึงแก่กรรม และเช็คพิพาทตกมาอยู่ในความครอบครองของนายมนูศักดิ์ นายมนูศักดิ์จึงมอบเช็คพิพาทให้โจทก์และโจทก์นำมาฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาดังกล่าว และเป็นคดีนี้ การกระทำของโจทก์และนายมนูศักดิ์จึงเป็นการคบคิดกันฉ้อฉลเพื่อทำให้จำเลยไม่สามารถอ้างข้อต่อสู้ที่มีต่อนายซีเอและนายมนูศักดิ์มายันโจทก์ในคดีนีได้ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินตามเช็คพิพาทให้โจทก์ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 916 ประกอบด้วยมาตรา 989 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.