แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ช. ผู้ตาย ฟ้องขอให้บังคับจำเลยซึ่งเป็นมารดาและผู้จัดการมรดกของผู้ตาย จดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท โดยอ้างว่า ที่ดินพิพาทส่วนหนึ่งเป็นมรดกที่ผู้ตายได้รับมาจากบิดา และอีกส่วนหนึ่งเป็นทรัพย์ของผู้ตายที่บิดายกให้ในขณะบิดามีชีวิตอยู่ เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นมรดกตกแก่โจทก์ในฐานะทายาทประเภทคู่สมรส จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์อ้างว่าเป็นมรดกที่ผู้ตายได้รับมาจากบิดานั้นเป็นสินส่วนตัวของจำเลย มิใช่มรดกที่ตกแก่ผู้ตาย โจทก์มีสิทธิในที่ดินพิพาทเฉพาะแปลงที่ผู้ตายได้รับการยกให้จากบิดาขณะบิดามีชีวิตอยู่เพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น กรณีมีปัญหาให้วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือไม่ จึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของผู้ตาย ซึ่งต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 ว่าด้วยมรดก มูลเหตุแห่งคดีมิได้เกี่ยวด้วยสิทธิ และหน้าที่หรือความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับผู้ตายในทางทรัพย์สินซึ่งต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. บรรพ 5 มาตรา 1470 ถึง 1474 มิใช่คดีครอบครัวตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 10 (3)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนาย ช. จดทะเบียนสมรสกันเมื่อปี 2509 นาย ช. เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนาย ส. กับจำเลย เมื่อนาย ส. ถึงแก่ความตาย ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสกับจำเลยซึ่งเป็นมรดกส่วนของนาย ส. ตกแก่นาย ช. ในฐานะผู้สืบสันดานกึ่งหนึ่ง อันได้แก่ ที่ดินโฉนดเลขที่ 13516 และ 12912 ตำบลบางบำหรุ อำเภอบางกอกน้อย จังหวัดธนบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 300 มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ที่ดินเนื้อที่ 6 ไร่เศษ ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าศาลา อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี มีหลักฐานเป็นทั้งโฉนดที่ดินและ ส.ค. 1 มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และที่ดินโฉนดเลขที่ 43621 ถึง 43624 ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีชื่อนาย ช. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2558 นาย ช. ถึงแก่ความตาย โจทก์เป็นทายาทในฐานะคู่สมรสผู้มีสิทธิรับมรดกของนาย ช. โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยใส่ชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินตามคำขอท้ายฟ้อง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า ระหว่างมีชีวิตอยู่นาย ส. ตกลงกับจำเลยว่า หากจำเลยจะทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ใด ๆ ให้จำเลยดำเนินการเพียงผู้เดียว โดยใช้เงินของจำเลยเอง และทรัพย์สินที่ได้มาให้ตกเป็นสินส่วนตัวของจำเลยแยกต่างหากจากทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันระหว่างสมรส โดยนายสมานไม่ขอเกี่ยวข้อง ที่ดินโฉนดเลขที่ 13516 และ 12912 ตำบลบางบำหรุ อำเภอบางกอกน้อย จังหวัดธนบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 300 ที่ดิน สค. 1 เลขที่ 76 ที่ดินโฉนดเลขที่ 14357, 14358 และ 14359 ตำบลท่าศาลา อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ จำเลยซื้อมาด้วยเงินของจำเลยเอง ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลยเพียงผู้เดียว ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 43621 ถึง 43624 ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่มีชื่อนาย ช. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เมื่อนาย ช. ถึงแก่ความตายที่ดินตกเป็นมรดกแก่โจทก์ซึ่งเป็นภริยาและจำเลยผู้เป็นมารดาคนละกึ่งหนึ่ง โจทก์จึงมีสิทธิเฉพาะในที่ดินแปลงนี้เท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดชี้สองสถานและนัดสืบพยาน ศาลจังหวัดตลิ่งชันเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงส่งสำนวนให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 11
วินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนาย ช. ผู้ตาย ฟ้องขอให้บังคับจำเลยซึ่งเป็นมารดาและผู้จัดการมรดกของผู้ตาย จดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท โดยอ้างว่าที่ดินพิพาทส่วนหนึ่งเป็นมรดกที่ผู้ตายได้รับมาจากบิดา และอีกส่วนหนึ่งเป็นทรัพย์ของผู้ตายที่บิดายกให้ขณะบิดามีชีวิตอยู่ เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นมรดกตกแก่โจทก์ในฐานะทายาทประเภทคู่สมรส จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์อ้างว่าเป็นมรดกที่ผู้ตายได้รับมาจากบิดานั้นเป็นสินส่วนตัวของจำเลย มิใช่มรดกที่ตกแก่ผู้ตาย โจทก์มีสิทธิในที่ดินพิพาทเฉพาะแปลงที่ผู้ตายได้รับการยกให้จากบิดาขณะบิดามีชีวิตอยู่เพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น กรณีมีปัญหาให้วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือไม่ และจำเลยต้องใส่ชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทตามคำขอท้ายฟ้องหรือไม่ จึงเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของผู้ตาย ซึ่งต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 ว่าด้วยมรดก มูลเหตุแห่งคดีมิได้เกี่ยวด้วยสิทธิและหน้าที่หรือความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับผู้ตายในทางทรัพย์สินซึ่งต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 มาตรา 1470 ถึง 1474 มิใช่คดีครอบครัวตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 10 (3)
วินิจฉัยว่า คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว
วินิจฉัย ณ วันที่ 25 เดือน กรกฎาคม พุทธศักราช 2559
วีระพล ตั้งสุวรรณ
(นายวีระพล ตั้งสุวรรณ)
ประธานศาลฎีกา