แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
นิติกรรมที่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 นั้น นอกจากเป็นกรณีที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้ง โดยกฎหมายหรือเป็นการพ้นวิสัยแล้วยังมีกรณีที่เป็นการขัดต่อ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนอีกด้วย ซึ่งหมายความว่า แม้การกระทำนั้นจะไม่เป็นการต้องห้ามชัดแจ้ง ตามที่กฎหมาย บัญญัติไว้เลย แต่ถ้าเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแล้วนิติกรรมนั้นก็ย่อม ตกเป็นโมฆะเช่นกัน แม้การที่โจทก์เรียกค่าจ้างว่าความจากจำเลยโดยใช้ วิธีแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันจะพึงได้ จากคู่ความนั้นจะไม่เป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 และข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 สัญญาจ้างว่าความจึงไม่ตกเป็นโมฆะเพราะเหตุ ดังกล่าวก็ตาม แต่สัญญาจ้างว่าความฉบับพิพาท ซึ่งเดิมโจทก์มิได้มีส่วนได้เสียในที่ดินที่จำเลยกับบุคคลอื่นพิพาทกันเลยการที่โจทก์ได้ค่าจ้างว่าความเป็นที่ดิน 200 ตารางวาอันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่จำเลยพิพาทกับบุคคลอื่นนั้น ย่อมทำให้ โจทก์เป็นผู้เข้าไปมีส่วนได้เสียในที่ดินดังกล่าวโดยตรง เพราะ หากจำเลยต้องแพ้คดีแล้ว โจทก์ก็จะไม่ได้ค่าจ้างว่าความเนื่องจาก จำเลยพิพาทกับบุคคลอื่นเกี่ยวกับที่ดินที่โจทก์จะได้รับส่วนแบ่ง เป็นค่าจ้างตามฟ้องนั้นทั้งแปลง ดังนี้ สัญญาจ้างว่าความฉบับพิพาท จึงมีลักษณะเป็นการรับโอนสิทธิในการดำเนินคดีของจำเลย มาจัดการให้โดยขอรับส่วนแบ่งจากที่ดินดังกล่าวเป็นค่าตอบแทน เมื่อจำเลยชนะคดี อันเป็นการช่วยเหลือยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่น เป็นความกันวัตถุประสงค์ของสัญญาจ้างว่าความดังกล่าวจึงขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนย่อมตกเป็นโมฆะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2535 จำเลยว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความฟ้องเทศบาลเมืองระยอง โดยทำสัญญาจ้างว่าความ ตกลงค่าจ้างว่าความเป็นที่ดินบางส่วนของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 618 หมู่ที่ 2 ตำบลเชิงเนินอำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เนื้อที่ 200 ตารางวาโจทก์ดำเนินการว่าความให้จำเลยเสร็จแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์ขอให้จำเลยโอนที่ดิน 200 ตารางวา ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 618 หมู่ที่ 2ตำบลเชิงเนิน อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง แก่โจทก์หากจำเลยไม่แบ่งแยกโอนให้ให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ค่าจ้างว่าความตามที่ตกลงกันเป็นการเรียกค่าจ้างว่าความเอาจากส่วนแบ่งที่ดินแปลงที่เป็นมูลพิพาทเป็นสัญญาที่ขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความ จึงเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกและส่งมอบที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 618 หมู่ที่ 2 ตำบลเชิงเนิน อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ให้แก่โจทก์ 200 ตารางวา ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้จำเลยใส่ชื่อโจทก์ถือสิทธิร่วมในที่ดินดังกล่าวเนื้อที่ 200 ตารางวา จำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยชั้นนี้เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยเท่านั้นว่า สัญญาจ้างว่าความตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นโมฆะหรือไม่ เห็นว่า แม้ทางพิจารณาได้ความว่า การที่โจทก์เรียกค่าจ้างว่าความจากจำเลยโดยใช้วิธีแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันจะพึงได้จากคู่ความนั้นไม่เป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528และข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529ที่จะทำให้สัญญาจ้างว่าความตามเอกสารหมาย จ.2 ตกเป็นโมฆะดังเช่นที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยก็ตาม แต่นิติกรรมที่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 นั้นนอกจากเป็นกรณีที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือเป็นการพ้นวิสัยแล้วยังมีกรณีที่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนอีกด้วย ซึ่งหมายความว่า แม้การกระทำนั้นจะไม่เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เลยแต่ถ้าเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแล้ว นิติกรรมนั้นก็ย่อมตกเป็นโมฆะเช่นกัน เมื่อพิจารณาสัญญาจ้างว่าความตามเอกสารหมาย จ.2 แล้วพึงเห็นได้ว่าเดิมโจทก์มิได้มีส่วนได้เสียในที่ดินที่จำเลยกับบุคคลอื่นพิพาทกันเลย การที่โจทก์ได้ค่าจ้างว่าความเป็นที่ดิน 200 ตารางวา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่จำเลยพิพาทกับบุคคลอื่นนั้น ทำให้โจทก์เป็นผู้เข้าไปมีส่วนได้เสียในที่ดินดังกล่าวโดยตรงเพราะหากจำเลยต้องแพ้คดีแล้ว โจทก์ก็จะไม่ได้ค่าจ้างว่าความตามเอกสารหมาย จ.2 เนื่องจากจำเลยพิพาทกับบุคคลอื่นเกี่ยวกับที่ดินที่โจทก์จะได้รับส่วนแบ่งเป็นค่าจ้างตามฟ้องนั้นทั้งแปลง ดังนี้ย่อมแสดงว่า สัญญาจ้างว่าความตามเอกสารหมาย จ.2 มีลักษณะเป็นการรับโอนสิทธิในการดำเนินคดีของจำเลยมาจัดการให้โดยขอรับส่วนแบ่งจากที่ดินดังกล่าวเป็นค่าตอบแทนเมื่อจำเลยชนะคดี อันเป็นการช่วยเหลือยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นเป็นความกัน ซึ่งวัตถุประสงค์ของสัญญาจ้างว่าความดังกล่าวจึงขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนย่อมตกเป็นโมฆะ โจทก์จึงฟ้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาจ้างว่าความเอกสารหมาย จ.2 ไม่ได้
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง