แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524ผู้ให้เช่านาจะขายนาที่ให้เช่าได้ต่อเมื่อได้แจ้งความจำนงจะขายนาให้ผู้เช่านาทราบเป็นหนังสือ โดยระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธานคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตำบล เพื่อแจ้งให้ผู้เช่านาทราบภายใน 15 วัน ถ้าผู้เช่านาไม่แสดงความจำนงจะซื้อนาภายในกำหนด 30 วัน หรือปฏิเสธเป็นหนังสือ หรือแสดงความจำนงจะซื้อนาแต่ไม่ชำระเงินในกำหนดเวลาที่ตกลงกันหรือเวลาที่คณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตำบลกำหนด จึงจะถือว่าผู้เช่านาหมดสิทธิที่จะซื้อนา เมื่อข้อเท็จจริงในคดีฟังเป็นยุติว่า ช. ผู้ให้เช่านาบอกขายนาให้แก่จำเลยโดยเป็นการบอกขายระหว่างกันเอง มิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนตามที่ พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 กำหนดไว้ การที่ ช. ขายนาที่จำเลยเช่าให้แก่โจทก์จึงไม่ทำให้จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่านาหมดสิทธิที่จะซื้อนาแปลงดังกล่าวดังนั้นข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลในคดีแพ่งที่จำเลยฟ้องโจทก์ขอให้บังคับโจทก์ขายนาแก่จำเลย ในทำนองว่า ช. ไม่เคยบอกขายที่นาให้แก่จำเลย แม้จะเป็นความเท็จ แต่ข้อความดังกล่าวมิใช่ข้อสำคัญในคดีก่อนเพราะไม่อาจทำให้คู่ความแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดีได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคแรก ให้ปรับ 4,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้จำเลยฎีกาได้เฉพาะข้อกฎหมายในการวินิจฉัยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยที่ว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่นั้น ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า นายชาญ พุทธิจุล เจ้าของนาที่ให้จำเลยเช่าทำได้บอกขายนาให้แก่จำเลยแล้ว แต่ตกลงในเรื่องชำระเงินกันไม่ได้ จำเลยจึงไม่ซื้อ ต่อมาจำเลยได้ฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นขอให้บังคับโจทก์ขายนาแก่จำเลย อ้างว่านายชาญขายนาที่จำเลยเช่าทำอยู่ให้แก่โจทก์ โดยนายชาญมิได้แจ้งการขายนาพร้อมทั้งราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินเป็นหนังสือให้จำเลยทราบตามพระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ก่อน คดีดังกล่าวจำเลยได้เบิกความเป็นพยานในชั้นพิจารณาว่า การที่นายชาญพุทธิจุลขายนาให้จำเลย (โจทก์คดีนี้) นายชาญไม่ได้บอกข้าฯ ก่อนหากนายชาญบอกข้าฯ จะซื้อไว้เอง คำเบิกความของจำเลยดังกล่าวเป็นความเท็จ
ปัญหาว่าข้อความที่จำเลยเบิกความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่เห็นว่า ข้อความที่เป็นข้อสำคัญในคดีจะต้องเป็นข้อความที่อาจทำให้คู่ความต้องแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดีได้ ซึ่งตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 นั้น ผู้ให้เช่านาจะขายนาที่ให้เช่าได้ต่อเมื่อได้แจ้งให้ผู้เช่านาทราบเป็นหนังสือแสดงความจำนงจะขายนา โดยระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธาน คชก. ตำบล เพื่อแจ้งให้ผู้เช่านาทราบภายใน 15 วัน ถ้าผู้เช่านาไม่แสดงความจำนงจะซื้อนาภายในกำหนด 30 วัน หรือปฏิเสธเป็นหนังสือหรือแสดงความจำนงจะซื้อนาแต่ไม่ชำระเงินในกำหนดเวลาที่ตกลงกันหรือเวลาที่ คชก. ตำบลกำหนด จึงจะถือว่าผู้เช่านาหมดสิทธิที่จะซื้อนา แต่ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าที่นายชาญผู้ให้เช่านาบอกขายนาให้แก่จำเลยนั้นเป็นการบอกขายกันเองมิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนตามที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 กำหนดไว้ การที่นายชาญขายนาที่จำเลยเช่าให้แก่โจทก์ จำเลยผู้เช่านาจึงไม่หมดสิทธิที่จะซื้อนา ดังนั้น ข้อความที่จำเลยเบิกความจึงไม่เป็นข้อความที่อาจทำให้คู่ความแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดีได้ คำเบิกความของจำเลยจึงไม่เป็นข้อสำคัญในคดี จำเลยไม่มีความผิดตามฟ้อง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง