คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 916/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมอัยการฟ้องคดีอาญาหาว่าจำเลยกับพวกบุกรุกที่ดินมีโฉนดของโจทก์และทำให้เสียทรัพย์ และในการบุกรุกนี้จำเลยได้ปักหลักขึงลวดหนามในเขตที่ดินของโจทก์ด้วย ในการพิจารณาคดีนั้นปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาซึ่งจำเลยกับโจทก์ได้ลงชื่อไว้ความว่า ศาลได้ไกล่เกลี่ยให้โจทก์ จำเลยปรองดองกัน จำเลยยอมรับว่าเขตที่ดินของจำเลยมีอยู่ตามโฉนดเดิม จำเลยยอมรื้อรั้วและหลักที่ปักเข้าไปในโฉนดของโจทก์ออก ต่อมาโจทก์จึงถอนคำร้องทุกข์ในข้อหาทำให้เสียทรัพย์และแถลงว่า จำเลยเข้าใจผิดในเขตในข้อหาบุกรุก ศาลจึงพิพากษายกฟ้องข้อหาบุกรุกนี้ด้วยครั้นแล้วจำเลยก็ไม่รื้อหลักและรั้วนั้นออก โจทก์จึงฟ้องเป็นคดีแพ่งขอให้บังคับให้จำเลยรื้อไป จำเลยกลับมาอ้างอีกว่า ที่ที่จำเลยปักเสาทำรั้วเข้าไปนั้นจำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองแล้ว และว่า ในคดีอาญานั้นจำเลยไม่ได้แถลงสละสิทธิหรือกรรมสิทธิ์ ดังนี้ ย่อมฟังไม่ขึ้น เพราะข้อตกลงของโจทก์กับจำเลยในรายงานพิจารณาในคดีอาญาดังกล่าวนั้นมีผลเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และข้อความแห่งความตกลงนั้นแสดงชัดว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยกับพวกมีอาวุธร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดินมีโฉนดของโจทก์ในการบุกรุกนี้จำเลยกับพวกได้ปักหลักขึงลวดหนามในเขตที่ของโจทก์ อัยการได้ฟ้องจำเลยฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ตามคดีอาญาแดงที่ 161/2505 ในการพิจารณาคดีอาญานั้น จำเลยยอมรับว่า เขตที่ดินของจำเลยมีตามโฉนดเดิม รั้วปักล้ำเขตโฉนดของโจทก์จริง จำเลยยอมรื้อปรากฏตามรายงานพิจารณาของศาล โจทก์จึงถอนคำร้องทุกข์ฐานทำให้เสียทรัพย์ และศาลยกฟ้องข้อหาฐานบุกรุกโดยเห็นว่าจำเลยยังไม่มีเจตนาทางอาญา ต่อมาจำเลยก็ไม่รื้อรั้วและหลักไม้นั้นขอให้จำเลยรื้อหลักและรั้วกับใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า ไม่ได้บุกรุกที่ดินโจทก์ ที่ที่จำเลยปักเสาและทำรั้วเป็นที่ที่จำเลยเข้าครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยเปิดเผยและสงบมาเกินกว่า 10 ปี แม้จะเป็นที่ในโฉนดของใคร จำเลยก็ได้กรรมสิทธิ์ ในคดีอาญาที่โจทก์กล่าวนั้น ศาลได้ไกล่เกลี่ยให้ตกลงกันจำเลยเข้าใจว่าเพื่อให้คดีอาญายุติ จึงได้ยอมตามคำไกล่เกลี่ยโดยสำคัญผิด จำเลยไม่ได้แถลงสละกรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง สิทธิหรือกรรมสิทธิ์ของจำเลยยังคงมีอยู่ เมื่อศาลพิพากษาคดีแล้วจำเลยจึงทราบว่าตามที่จ่าศาลไปรังวัดรายงานต่อศาลนั้นไม่เป็นไปตามความเข้าใจของจำเลย จำเลยจึงไม่ยอมถอนเสาและรั้ว ฯลฯ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ปรากฏตามสำนวนคดีอาญาแดงที่ 161/2505ว่า ศาลได้ไกล่เกลี่ยให้ผู้เสียหายกับจำเลยปรองดองกัน เมื่อจำเลยยอมรับว่าเขตที่ดินของผู้เสียหายและของจำเลยมีอยู่ตามเขตโฉนดเดิมและจำเลยยอมรื้อรั้วและหลักที่ปักเข้าไปในโฉนดของผู้เสียหายออกศาลจึงให้จ่าศาลไปรังวัดและบันทึกให้ผู้เสียหายและจำเลยเซ็นชื่อรับรองไว้มารายงานศาลจ่าศาลไปรังวัดต่อหน้าจำเลยและผู้เสียหายทั้ง 2 ฝ่ายได้ลงชื่อรับรองไว้ในบันทึกว่าถูกต้องแล้วต่อมาศาลยังได้เรียกมาพิจารณาต่อหน้าศาลอีกครั้งหนึ่ง จำเลยก็รับรองโดยดีไม่มีผู้ใดคัดค้านทักท้วง ผู้เสียหายจึงถอนคำร้องทุกข์ข้อหาทำให้เสียทรัพย์ ส่วนฐานบุกรุกนั้น เมื่อผู้เสียหายแถลงว่าจำเลยเข้าใจผิดในเขตศาลจึงยกฟ้องฐานนี้ เห็นว่าการพิจารณาคดีอาญาดังกล่าวตลอดจนการที่ศาลไกล่เกลี่ยให้ปรองดองกันนั้นได้กระทำในศาลโดยเปิดเผยที่จ่าศาลไปรังวัดก็ทำต่อหน้าจำเลย ๆ ลงชื่อรับรองไว้ การตกลงนั้นจึงเป็นการชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการที่จำเลยยอมรับว่าจากแนวเขตที่จ่าศาลรังวัดปักหลักไปจนถึงแนวเขตที่จำเลยปักหลักทำรั้วเข้าไปในโฉนดของผู้เสียหายนั้นเป็นที่ดินของผู้เสียหาย (โจทก์ในคดีนี้) เป็นอันว่าบรรดาสิทธิใด ๆ ในที่พิพาทจะมีอยู่จำเลยก็ยอมสละไปในตัว จะมาเถียงว่าไม่ได้สละกรรมสิทธิโดยการครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ของจำเลยยังมีอยู่หาได้ไม่ พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนเสาและรั้วลวดหนามและใช้ค่าเสียหาย

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่ารายงานกระบวนพิจารณาของศาลในคดีอาญาหาใช่สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ จะยกขึ้นบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามรายงานนั้นมิชอบ ทั้งคำแถลงของจำเลยก็ไม่ใช่การสละสิทธิหรือบรรดาสิทธิใด ๆ ในที่พิพาทเลยนั้นเห็นว่าข้อความในรายงานพิจารณานั้นแสดงชัดว่าจำเลยกับผู้เสียหายตกลงกันดังที่ศาลไกล่เกลี่ยและจดไว้ในรายงานพิจารณา จำเลยและผู้เสียหายได้ลงชื่อไว้ในรายงานพิจารณา ข้อความในรายงานพิจารณานั้นแสดงว่าจำเลยกับผู้เสียหายได้ทำความตกลงกันอันมีลักษณะเป็นการระงับข้อพิพาท ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีผลเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และข้อความนั้นแสดงชัดว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์

พิพากษายืน

Share