คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 179/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายฝากกระเป๋าถือแก่จำเลยเพื่อเข้าห้องส้วม ขณะผู้เสียหายเข้าห้องส้วม จำเลยได้เปิดกระเป๋าถือเอาสร้อยกับธนบัตรของผู้เสียหายไป เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์ของผู้เสียหายซึ่งกำลังโดยสารอยู่ในเรือประจำทาง เหตุเกิดที่ตำบลปากพนัง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ทางพิจารณาไม่แน่ว่าขณะเกิดเหตุเรือแล่นอยู่ในเขตตำบลปากพนังตามฟ้องหรือแล่นเข้าไปในในเขตตำบลหูล่องกับตำบลบ้านเกิง ซึ่งติดต่อกันแล้ว คงได้ความเพียงว่า เหตุเกิดในเรือโดยสารซึ่งเดินจากอำเภอปากพนังไปอำเภอหัวไทย ดังนี้ ยังไม่พอถือเป็นข้อแตกต่างกับฟ้องจนถึงขนาดจะยกฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๐๔ เวลากลางคืน จำเลยได้บังอาจลักสร้อยข้อมือทองคำหนักหนึ่งบาทราคา ๔๔๐ บาท กับธนบัตร ๔๘ บาท ของนางแดง ปลอดใหม่ ซึ่งกำลังโดยสารอยู่ในเรือประจำทางไป เหตุเกิดที่ตำบลปากพนัง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช
จำเลยให้การปฏิเสธ
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุ นางแดง ปลอดใหม่ ผู้เสียหายกับจำเลยได้โดยสารเรือยนต์ซึ่งเดินรับส่งคนโดยสารระหว่างอำเภอปากพนังกับอำเภอหัวไทร เรือออกจากปากพนังเมื่อเวลาราวทุ่มครึ่ง เรือแล่นไปประมาณครึ่งชั่วโมง ผู้เสียหายปวดท้องจึงฝากกระเป๋าถือไว้กับจำเลยแล้วไปเข้าส้วมที่ท้ายเรือระหว่างที่ผู้เสียหายเข้าส้วม จำเลยได้หยิบเอาสร้อยข้อมือทองคำและธนบัตรในกระเป๋าของผู้เสียหายไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ ให้จำคุก ๖ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นยักยอกทรัพย์ ไม่ใช่ลักทรัพย์ดังฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้เสียหายฝากให้จำเลยดูแลกระเป๋าถือแทน เป็นการชั่วคราวชั่วระยะเวลาที่ผู้เสียหายเข้าส้วมเท่านั้น ่ผู้เสียหายมิได้เจตนาจะสละการครอบครองให้ จึงถือได้ว่าสร้อยและธนบัตรยังอยู่ในครอบครองของผู้เสียหาย การที่จำเลยลอบเปิดกระเป๋าถือเอาสร้อยกับธนบัตรของผู้เสียหายไป จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
ที่จำเลยแก้ฎีกาว่า เกิดเหตุระหว่างตำบลบ้านเกิงกับตำบลหูล่อง ต่างกับฟ้องที่หาว่าเกิดเหตุที่ตำบลปากพนังนั้น ความปรากฎตามคำจำเลยว่า เลยปากคลองท่าพญาไปทางฝั่งตะวันตกเป็นตำบลหูล่อง ฝั่งตะวันออกเป็นตำบลบ้านเกิง นางแดงรู้ตัวว่าของหายเมื่อเรือแล่นไปถึงปากคลองท่าพญา แสดงว่าเกิดเหตุมาก่อนที่เรื่อจะถึงปากคลองท่าพญา อันไม่แน่ว่าเมื่อขณะเกิดเหตุจะอยู่ในตำบลหูล่องกับตำบลบ้านเกิงดังจำเลยกล่าวอ้าง คงฟังได้เพียงว่าเหตุเกิดในเรือโดยสารซึ่งเดินจากอำเภอปากพนังไปอำเภอหัวโหร อันเป็นสารสำคัญตรงกับฟ้อง แม้จะไม่ปรากฎชัดว่าขณะเกิดเหตุเรือแล่นไปถึงตำบลใดก็ตาม ไม่พอถือเป็นข้อแตกต่างกับฟ้องจนถึงขนาดจะยกฟ้อง ข้ออ้างของจำเลยฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษากลัคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share