คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6555/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยให้การรับสารภาพฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย ศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต จำเลยฎีกาว่า ไม่ได้ร่วมกับพวกกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นจากที่จำเลยให้การรับสารภาพ อันถือได้ว่าเป็นการฎีกาข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15
จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นเหตุให้สามารถยึดเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวน 10,000 เม็ด อันเป็นการขยายผลเพื่อจับกุมผู้กระทำความผิด ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 100/2 (ที่แก้ไขใหม่) ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นก็ได้ อันเป็นการใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณบังคับตาม ป.อ. มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้ฎีกาด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 32,000 เม็ด มีปริมาณคำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ 680.60 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำเลยทั้งสี่ร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจำนวน 22,000 เม็ด มีปริมาณคำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ 466.008 กรัม โดยการขายให้แก่เจ้าพนักงานผู้ล่อซื้อ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง (ที่ถูก มาตรา 15 วรรคหนึ่งด้วย), 66 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 กากระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย วางโทษประหารชีวิต ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนวางโทษประหารชีวิต เมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแล้ว จึงไม่อาจนำโทษประหารชีวิตในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนมาเรียงกระทงลงโทษได้อีก จึงคงให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่แต่สถานเดียว จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษ เห็นสมควรลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (ที่ถูก 52 (2)) กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยทั้งสี่คนละตลอดชีวิต ริบของกลาง
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่โดยจำคุกกระทงละตลอดชีวิต ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 แล้ว คงจำคุกกระทงละ 25 ปี รวมโทษจำคุกทั้งสิ้นคนละ 50 ปี
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสี่คนละตลอดชีวิต จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาเพียงประการเดียว นอกจากวินิจฉัยปัญหาที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ได้วินิจฉัยในปัญหาว่าจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่อีกครั้งหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เฉพาะโทษ เป็นลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสี่กระทงละ 25 ปี รวมสองกระทง จำคุกเลยทั้งสี่คนละ 50 ปี ก็มิใช่การพิพากษายืน คดีนี้จึงยังไม่ถึงที่สุด จำเลยทั้งสี่มีสิทธิฎีกาได้ แต่ก็ต้องฎีกาในปัญหาที่ว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสี่ไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยทั้งสี่ได้และปัญหาเรื่องขอให้ลงโทษสถานเบา ซึ่งเป็นปัญหาที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง จำเลยทั้งสี่จะฎีกาโต้เถียงเป็นอย่างอื่นมิได้ ข้อที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ไม่ได้ร่วมกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า ไม่ได้ร่วมกับพวกกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ และจำเลยที่ 4 ฎีกาว่า ไม่ได้ร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นจากที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้การรับสารภาพ อันถือได้ว่าเป็นการฎีกาข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ ส่วนที่เลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่า สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งร่วมกับพวกมีเมทแอมเฟตามีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 32,000 เม็ด น้ำหนัก 2,894.03 กรัม มีปริมาณคำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ 680.60 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกับพวกจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจำนวน 22,000 เม็ด น้ำหนัก 1,989.62 กรัม มีปริมาณคำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ 466.008 กรัม โดยการขายให้แก่เจ้าพนักงานผู้ล่อซื้อ อันต้องด้วยบทกำหนดโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคสอง (เดิม) ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกตลอดชีวิตในความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุกตลอดชีวิต อันเป็นระวางโทษขั้นต่ำสุดของกฎหมาย และลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 แล้ว คงลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกคนละ 25 ปี ในความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุกคนละ 25 ปี ก็เป็นการลดโทษให้มากที่สุดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ไม่อาจลงโทษให้เบากว่านี้ได้อีก ฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ฟังไม่ขึ้น แต่สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามทางนำสืบโจทก์ว่าในวันเกิดเหตุ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 1 และที่ 2 พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนจำนวน 22,000 เม็ด ที่ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้นำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นเหตุให้สามารถยึดเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวน 10,000 เม็ด ที่ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมาเป็นของกลาง อันเป็นการขยายผลเพื่อจับกุมผู้กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้กระทำความผิดได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ และพนักงานสอบสวน อันต้องด้วยบทบัญญัติของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 (ที่แก้ไขใหม่) ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นก็ได้ และศาลฎีกาเห็นสมควรลงโทษจำเลยที่ 2 น้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน อันเป็นการใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้นบางส่วน ปัยหาดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้ฎีกาด้วยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกันมีแมทเอมแฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสอง (เดิม), 66 วรรคสอง (เดิม) ประกอบมาตรา 100/2 (ที่แก้ไขใหม่) จำคุกกระทงละ 30 ปี ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้คนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 15 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 30 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9

Share