คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6401/2554

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกไล่ตีและใช้มีดแทงผู้ตายก่อนที่จะมาตีและใช้มีดแทงทำร้ายผู้เสียหาย เป็นการทำร้ายใครก่อนหลังตามธรรมดา โดยจำเลยกับพวกมิได้มีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเพิ่มขึ้นจากเจตนาทำร้ายผู้ตายอีกคนหนึ่งในภายหลัง การกระทำของจำเลยกับพวกจึงมีเจตนาในการกระทำความผิดเป็นอันเดียวกันเพียงแต่มีการกระทำหลายหนต่อบุคคลหลายคน การฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าผู้เสียหายจึงถือว่าเป็นความผิดกรรมเดียว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2546 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยกับพวกร่วมกันพาอาวุธมีดปลายแหลม ตัวมีดยาวประมาณ 5.5 นิ้ว ติดตัวไปในซอยอิสลามพัฒนาซึ่งเป็นเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร และจำเลยกับพวกใช้มีดดังกล่าวและไม้เป็นอาวุธแทงและตีนายอนันต์ และนายพรรษาตามร่างกายหลายแห่งโดยเจตนาฆ่าเป็นเหตุนายอนันต์ถึงแก่ความตายและนายพรรษาได้รับอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 83, 91, 288, 371 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 288, 80, 371 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุ 16 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น จำคุก 7 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 5 ปี และฐานร่วมกันพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 50 บาท รวมจำคุก 12 ปี 6 เดือน และปรับ 50 บาท พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีและรายงานแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนครศรีธรรมราชแล้ว เห็นว่าการกระทำของจำเลยเกินกว่าวุฒิภาวะของเยาวชนที่มีความประพฤติดีทั่วไปจะพึงกระทำ การที่จำเลยกับพวกหลายคนรุมแทงและตีผู้ตายมีบาดแผลมากกว่า 20 แผล และทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส ต้องรับการรักษาพยาบาลนานหลายเดือนจึงจะหายเป็นปกตินับว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง และเป็นพฤติการณ์ที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง จึงไม่สมควรใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนกับจำเลย ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นและฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 แล้ว คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน ยกฟ้องโจทก์ข้อหาพาอาวุธมีด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยกับพวกหลายคนร่วมกันใช้ไม้ตีและใช้มีดปลายแหลม ตัวมีดยาว 5.5 นิ้ว แทงนายอนันต์ ผู้ตาย ตามร่างกายหลายแห่งเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และร่วมกันใช้ไม้ตีและใช้มีดแทงนายพรรษาหรือบ่าวผู้เสียหาย ที่ลิ้นปี่ เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ตามสำเนารายงานการชันสูตรพลิกศพและสำเนาผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 อันเป็นความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นและฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า จำเลยกับพวกแยกแยะกระทำต่อผู้ตายและผู้เสียหายโดยผู้ตายถูกจำเลยกับพวกรุมแทงจนถึงแก่ความตายในซอยอิสลามพัฒนาและมีพวกของจำเลยที่เหลือรอผู้เสียหายที่ปากซอยอิสลามพัฒนาแล้วร่วมกันตีและแทงผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เห็นว่า จากพยานโจทก์ได้ความว่าขณะผู้เสียหายโทรศัพท์ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะเห็นวัยรุ่นประมาณ 8 คนขับรถจักรยานยนต์ 3 คัน ผ่านมา เมื่อผู้ตาย ผู้เสียหาย และเด็กหญิงมัลลิกาหรือจ๋า พากันเดินกลับไปได้เล็กน้อย วัยรุ่นกลุ่มดังกล่าว ซึ่งมีจำเลยเป็นคนขับรถจักรยานยนต์รวมอยู่ด้วย ขับรถจักรยานยนต์มาปาดหน้าและล้อมผู้เสียหายกับพวกไว้ พวกของจำเลยลงจากรถจักรยานยนต์มาใช้ไม้ตีและใช้มีดแทงผู้ตายผู้ตายวิ่งหนีไปที่ถนนรามราชท้ายน้ำ จำเลยขับรถจักรยานพาพวกตามไป ผู้เสียหายกับเด็กหญิงมัลลิกาตามไปช่วยผู้ตาย ผู้ตายหนีเข้าซอยอิสลามพัฒนาจำเลยกับพวกตามไปตี กระทืบ และแทงผู้ตายถึงแก่ความตาย ขณะนั้นมีวัยรุ่น 2 ถึง 3 คน รออยู่ที่ปากซอยอิสลามพัฒนาได้รุมชกต่อยผู้เสียหายหลังจากนั้นวัยรุ่นที่รุมทำร้ายผู้ตายมารุมทำร้ายผู้เสียหายและมีนายเสกสรรค์ ใช้มีดแทงผู้เสียหาย พฤติการณ์จากพยานโจทก์ดังกล่าวแสดงว่า เมื่อจำเลยกับพวกมาพบผู้เสียหายกับผู้ตายโทรศัพท์จึงเข้ามารุมทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหายในทันทีทันใดในเวลาต่อเนื่องกัน โดยมีเจตนามุ่งประสงค์ต้องการฆ่า ผู้ตายและผู้เสียหายให้ถึงแก่ความตายในคราวเดียวกัน ข้อเท็จจริงเพียงได้ความว่า จำเลยกับพวกไล่ตีและใช้มีดแทงผู้ตายก่อนที่จะมาตีและใช้มีดแทงทำร้ายผู้เสียหายแต่การกระทำดังกล่าวก็เป็นการทำร้ายใครก่อนหลังตามธรรมดาโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยกับพวกจะได้มีเจตนาทำร้ายเฉพาะผู้เสียหายเพิ่มขึ้นจากเจตนาทำร้ายผู้ตายอีกคนหนึ่งในภายหลัง การกระทำของจำเลยกับพวกจึงมีเจตนาในการกระทำความผิดเป็นอันเดียวกันเพียงแต่มีการกระทำหลายหนต่อบุคคลหลายคน การฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าผู้เสียหายจึงถือว่าเป็นความผิดกรรมเดียว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share