คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6448/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าผู้รับโอนได้รับโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทจากลูกหนี้ที่ 1 โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ผู้ร้องจึงร้องขอให้เพิกถอนการโอนได้ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 114 (เดิม) และการที่ต่อมาผู้รับโอนได้โอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกภายหลังมีการยื่นฟ้องลูกหนี้ที่ 1 ให้ล้มละลาย ผู้คัดค้านที่ 1 ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตาม มาตรา 116 (เดิม) จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าผู้คัดค้านที่ 1 รับโอนมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนหรือไม่ต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
ปัญหาตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ที่ว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทกลับคืนสู่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 1 โดยกำหนดราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทสูงเกินไปในกรณีที่ไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้นั้น แม้ผู้คัดค้านที่ 1 มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นโต้แย้งคัดค้านในศาลชั้นต้น แต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ผู้คัดค้านที่ 1 ย่อมมีสิทธิยกขึ้นอุทธรณ์ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลายฯ มาตรา 14
การชดใช้ราคาทรัพย์คืนเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้ผู้คัดค้านที่ 1 อุทธรณ์เพียงผู้เดียว ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงผู้รับโอนและผู้คัดค้านที่ 2 ที่มิได้อุทธรณ์ด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลายฯ มาตรา 28

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลูกหนี้ (จำเลย) ทั้งสอง ล้มละลายเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2536 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2538 และพิพากษาให้ลูกหนี้ทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2539
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 47023 ตำบลหมื่นไวย (บ้านเกาะ) อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 194/87 ระหว่างลูกหนี้ที่ 1 ผู้โอน กับนางจิตรา เสวิกุล ผู้รับโอน เพิกถอนการโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวระหว่างนางจิตรา เสวิกุล ผู้รับโอนกับนางพัชรา ประสงค์ดี และนายสมเจตน์ ประสงค์ดี และเพิกถอนการจำนองระหว่างนางพัชรา ประสงค์ดี และนายสมเจตน์ ประสงค์ดี ผู้จำนอง กับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ผู้รับจำนอง ให้นางจิตรา เสวิกุล นางพัชรา ประสงค์ดี นายสมเจตน์ ประสงค์ดี และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กลับคืนสู่ฐานะเดิมโดยให้โอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างคืนสู่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 1 หากไม่โอนให้ถือเอาคำสั่งศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนในกรณีไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ให้ผู้รับโอนและผู้รับจำนองร่วมกันชดใช้ราคาแทนเป็นเงิน 1,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากนางจิตรา เสวิกุล โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นสถาบันการเงินมีวัตถุประสงค์ประกอบการธนาคารพาณิชย์ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนในการปล่อยสินเชื่อตามประเพณีการค้าของธนาคาร โดยมิทราบว่าลูกหนี้ที่ 1 มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างพิจารณา นางจิตรา เสวิกุล ผู้รับโอน ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นายฐิติ เสวิกุล ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนางจิตรา เสวิกุล ผู้รับโอนเข้ามาเป็นคู่ความแทน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 47023 ตำบลหมื่นไวย (บ้านเกาะ) อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 194/87 ระหว่างลูกหนี้ที่ 1 ผู้โอนกับนางจิตรา เสวิกุล ผู้รับโอน เพิกถอนการโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวระหว่างนางจิตรา เสวิกุล ผู้รับโอน กับผู้คัดค้านที่ 1 และเพิกถอนการจำนองระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2 ให้นางจิตรา เสวิกุลผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 กลับคืนสู่ฐานะเดิมโดยให้โอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างคืนสู่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 1 หากไม่โอนให้ถือเอาคำสั่งศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน ในกรณีไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ให้ผู้รับโอนและผู้รับจำนองร่วมกันชดใช้ราคาแทนเป็นเงิน 1,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ในกรณีไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ให้ผู้คัดค้านทั้งสองร่วมกันชดใช้ราคาแทนเป็นเงิน 1,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ว่า ผู้ร้องจะร้องขอให้เพิกถอนการโอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 114 (เดิม) ได้หรือไม่ …เห็นว่า โจทก์และลูกหนี้ที่ 1 ซึ่งเป็นพยานผู้ร้องเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทระหว่างลูกหนี้ที่ 1 กับผู้รับโอน และการเพิกถอนการโอนย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ในคดีล้มละลายทุกคน ทั้งพยานดังกล่าวเบิกความสอดคล้องต้องกันจึงเป็นพยานที่มีน้ำหนัก การที่ลูกหนี้ที่ 1 เคยกู้ยืมเงินจากผู้รับโอนมาปล่อยให้ผู้อื่นกู้ยืม นับได้ว่าเป็นผู้ที่มีความคุ้นเคยกันพอสมควรไม่มากก็น้อย ทั้งเป็นผู้ที่มีผลประโยชน์ร่วมกันด้วย ย่อมเป็นปกติวิสัยที่จะต้องสนใจฐานะความเป็นอยู่ของกันและกัน โดยเฉพาะผู้รับโอนเป็นฝ่ายที่ให้กู้ยืมเงินเป็นเจ้าของเงินนั้นมีความเสี่ยงที่จะได้รับความเสียหายต้องสนใจเป็นพิเศษประกอบกับการที่ผู้รับโอนได้นำเงินของตนเองไปไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทแล้วจดทะเบียนโอนขายแก่ผู้รับโอน แสดงว่าลูกหนี้ที่ 1 มีฐานะทางการเงินไม่ดี เป็นเหตุผลแวดล้อมสนับสนุนให้พยานหลักฐานของผู้ร้องมีน้ำหนักน่าเชื่อยิ่งขึ้นว่าลูกหนี้ที่ 1 มีความประสงค์ที่จะยักย้ายถ่ายเททรัพย์ดังกล่าวไปให้เสียเปรียบแก่ผู้รับโอนซึ่งเป็นเจ้าหนี้ที่รู้อยู่ด้วยกัน อันเป็นกระทำโดยไม่สุจริต ส่วนผู้คัดค้านที่ 1 มีนางพัชรา ประสงค์ดี และนายสมเจตน์ ประสงค์ดี ซึ่งเป็นผู้คัดค้านที่ 1 เบิกความทำนองเดียวกันว่า ในวันที่ไปจดทะเบียนรับโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทจากผู้รับโอน เจ้าพนักงานไม่ได้แจ้งให้ทราบว่ามีการอายัดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท พยานไม่เคยรู้จักลูกหนี้ที่ 1 และไม่ทราบว่าผู้รับโอนกับลูกหนี้ที่ 1 มีความสัมพันธ์กันอย่างไร คำเบิกความของพยานดังกล่าวมิได้ยืนยันว่าผู้รับโอนซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทจากลูกหนี้ที่ 1 โดยสุจริต ทั้งผู้รับโอนได้ถึงแก่กรรมไปก่อนที่จะมาเบิกความเป็นพยานให้ผู้คัดค้านที่ 1 จึงไม่มีพยานสนับสนุน ทำให้มีน้ำหนักน้อย แม้ผู้คัดค้านที่ 1 จะนำสืบว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้รับโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทจากผู้รับโอนโดยสุจริต ก็เป็นคนละเรื่องกับการโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทระหว่างลูกหนี้ที่ 1 กับผู้รับโอนที่ทำไปก่อนนั้น จึงไม่เป็นเหตุผลที่จะทำให้พยานผู้คัดค้านที่ 1 มีน้ำหนักมากขึ้นแต่อย่างใด พยานหลักฐานของผู้ร้องมีน้ำหนักดีกว่าผู้คัดค้านที่ 1 ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่านางจิตราได้รับโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทจากลูกหนี้ที่ 1 โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ผู้ร้องจึงร้องขอให้เพิกถอนการโอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 114 (เดิม) เมื่อนางจิตราได้โอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและการโอนนั้นมิได้กระทำก่อนที่มีการยื่นฟ้องลูกหนี้ที่ 1 ให้ล้มละลาย ผู้คัดค้านที่ 1 ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 116 (เดิม) จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าผู้คัดค้านที่ 1 รับโอนมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนหรือไม่ต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ข้อต่อไปว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าในกรณีไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ให้ผู้คัดค้านทั้งสองร่วมกันชดใช้ราคาแทนเป็นเงิน 1,500,000 บาท เป็นการไม่ชอบ เพราะความจริงที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทมีราคาเพียง 472,000 บาท เท่านั้น เห็นว่า แม้ผู้คัดค้านที่ 1 จะมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นโต้แย้งคัดค้านในศาลชั้นต้นดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัย แต่การกำหนดราคาชดใช้แทนกรณีไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ก็ต้องกำหนดให้ถูกต้องกับราคาแท้จริงตามพยานหลักฐานในสำนวนด้วย การที่ผู้คัดค้านที่ 1 อุทธรณ์ว่าราคาที่ศาลชั้นต้นกำหนดสูงเกินไปไม่ถูกต้องตามพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนนั้นเป็นเรื่องเกินกว่าสิทธิที่ผู้ร้องมีอยู่ จึงเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ผู้คัดค้านที่ 1 ย่อมมีสิทธิยกขึ้นอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 14 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยปัญหานี้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา และศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยก่อนในปัญหานี้ผู้ร้องมิได้นำสืบว่าราคา 1,500,000 บาท มีที่มาอย่างไร แต่ปรากฏตามรายงานความเห็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ทางสอบสวนได้ความว่า ลูกหนี้ที่ 1 ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่ผู้รับโอนในราคา 600,000 บาท และผู้ร้บโอนขายต่อให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ในราคา 600,000 บาท ต่อมาผู้คัดค้านที่ 1 ได้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 47000, 47001 และที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทแก่ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นเงิน 1,500,000 บาท โดยเจ้าหน้าที่ของผู้คัดค้านที่ 2 ได้ประเมินราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นเงิน 600,000 บาท ดังนั้น ราคา 1,500,000 บาท จึงเป็นจำนวนเงินที่ผู้คัดค้านที่ 1 จำนองที่ดินจำนวน 3 แปลงแก่ผู้คัดค้านที่ 2 มิใช่ราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทเพียงแปลงเดียว ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ากรณีไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ให้ผู้คัดค้านทั้งสองร่วมกันชดใช้ราคาแทน เป็นเงิน 1,500,000 บาท จึงเป็นการไม่ชอบ ตามรายงานความเห็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และสรุปเห็นราคาประเมินหลักประกัน ระบุราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทสอดคล้องตรงกันว่ามีราคา 600,000 บาท เชื่อได้ว่าเป็นราคาที่แท้จริงที่จะต้องชดใช้คืน ส่วนราคา 472,000 บาท เป็นราคาที่ผู้คัดค้านที่ 1 คำนวณในอัตราร้อยละ 80 ของวงเงินจำนอง จึงมิใช่ราคาที่แท้จริงที่จะต้องชดใช้คืน ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง การชดใช้ราคาทรัพย์คืนนี้เป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้ผู้คัดค้านที่ 1 อุทธรณ์เพียงผู้เดียว ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงผู้รับโอนและผู้คัดค้านที่ 2 ที่มิได้อุทธรณ์ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 (1) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 28 ฎีกาข้ออื่นของผู้คัดค้านที่ 1 ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 47023 ตำบลหมื่นไวย (บ้านเกาะ) อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 194/87 ระหว่างลูกหนี้ที่ 1 ผู้โอนกับนางจิตรา เสวิกุล ผู้รับโอนเพิกถอนการโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวระหว่างนางจิตรา เสวิกุล ผู้รับโอนกับผู้คัดค้านที่ 1 และเพิกถอนการจำนองระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2 ให้นางจิตรา เสวิกุล ผู้รับโอนและผู้คัดค้านทั้งสองกลับคืนสู่ฐานะเดิม โดยโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทคืนสู่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 1 หากไม่โอนให้ถือเอาคำสั่งศาลเป็นการแสดงเจตนา ในกรณีไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ให้ผู้รับโอนร่วมกับผู้คัดค้านทั้งสองชดใช้ราคาแทนเป็นเงิน 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share