แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การฟ้องขอแบ่งทรัพย์ที่มีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1363 ไม่มีอายุความ ตามมาตรา 1363 วรรคสอง เป็นเรื่องผู้มีกรรมสิทธิ์รวมจะทำนิติกรรมห้ามแบ่งกรรมสิทธิ์รวมได้คราวละไม่เกินสิบปี มิใช่เป็นอายุความ
โจทก์ ฮ. และจำเลยที่ 1 ได้ตกลงรังวัดที่ดินมือเปล่ายังไม่มีหลักฐานหนังสือสำคัญเพื่อแบ่งกรรมสิทธิ์รวมไว้ โจทก์ได้ที่ดินเป็นที่พิพาท โจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเป็นสัดส่วนตลอดมา การแบ่งแยกเจ้าของรวมจึงไม่อาจจดทะเบียนแบ่งแยกต่อเจ้าพนักงานที่ดินได้ ถือว่าโจทก์ยึดถือที่ดินส่วนที่เข้าครอบครองเพื่อตน โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367 แม้ต่อมาทางราชการจะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) และโฉนดที่ดินมีชื่อโจทก์ จำเลยที่ 1 และ ฮ. ถือกรรมสิทธิ์รวม โดยไม่ได้ระบุว่ามีส่วนคนละเท่าใดและตาม ป.พ.พ. มาตรา 1357 ให้สันนิษฐานว่าผู้เป็นเจ้าของรวมกันมีส่วนเท่ากันก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของกฎหมายในกรณีที่ไม่ปรากฏชัดว่าเจ้าของรวมแต่ละคนมีส่วนเท่าใด โจทก์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ตามสัดส่วนที่ครอบครอง จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าเจ้าของรวมยังคงมีส่วนเท่ากันหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่ง ขอให้พิพากษาว่า ที่ดินพิพาทตามแผนที่โดยประมาณเอกสารท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสามรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 91090 ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ และจดทะเบียนให้แก่โจทก์เป็นเนื้อที่ 15 ไร่ 1 งาน 50 ตารางวา หากจำเลยทั้งสามไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสาม ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์สำหรับฤดูการทำนา ปี 2540 เป็นเงิน 12,000 บาท และมีต่อๆ ไป 12,000 บาท จนกว่าจำเลยที่ 1 จะเลิกเกี่ยวข้อง
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ที่ดินตามคำฟ้องเป็นของโจทก์ จำเลยที่ 1 และนางโฮล แซ่อุย ได้มาจากการยกให้ของนางแก้ว ยิ่งงาม ยายของจำเลยที่ 1 หลังจากนั้นได้ครอบครองทำประโยชน์ร่วมกันตลอดมา โจทก์ จำเลยที่ 1 และนางโฮลเคยรังวัดแบ่งที่ดินตามแผนที่โดยประมาณเอกสารท้ายฟ้องไปพลางก่อน แต่ภายหลังจากนั้นไม่สามารถตกลงกันได้ จึงมิได้ดำเนินการใดๆ จนล่วงเวลามานานกว่า 10 ปีแล้วการที่โจทก์เพิ่งมาฟ้องแบ่งที่ดินเป็นคดีนี้ คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ต่อมาโจทก์ จำเลยที่ 1 และนางโฮลตกลงแบ่งที่ดินครอบครองเป็นสัดส่วนเท่าๆ กันเฉพาะที่ดินด้านทิศเหนือ ส่วนที่ดินด้านทิศใต้ยังไม่ได้แบ่งกันชัดเจน ต่างเข้าทำประโยชน์เท่าที่แต่ละคนจะสามารถทำนาได้ตามแผนที่โดยประมาณเอกสารท้ายคำให้การของจำเลยที่ 1 ภายหลังนางโฮลถึงแก่ความตายจำเลยทั้งสามและทายาทอื่นได้ตกลงแบ่งมรดกของนางโฮล ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ส่วนแบ่งเป็นที่ดินตามฟ้องส่วนที่เป็นของนางโฮล ที่ดินพิพาทที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 บุกรุกนั้นเป็นที่ดินส่วนที่ยังไม่ได้แบ่งกันชัดเจน ทั้งจำเลยที่ 1 ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าที่ดินดังกล่าวอยู่บริเวณใดแน่ คำฟ้องโจทก์ส่วนนี้จึงเคลือบคลุม จำเลยที่ 1 ยอมให้แบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโดยให้มีส่วนเท่าๆ กันตามลักษณะที่ปรากฏในแผนที่โดยประมาณเอกสารท้ายคำให้การของจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การับตามคำฟ้อง ขอให้ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นพับ
ระหว่างพิจารณา โจทก์ถึงแก่ความตาย นางสุทิภา เข้าเมือง ทายาทยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 90 ตารางวา ตามแผนที่พิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเนื้อที่รวมประมาณ 15 ไร่ 1 งาน 50 ตารางวา ให้จำเลยทั้งสามไปจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์รวมให้แก่โจทก์ตามฟ้อง หากจำเลยทั้งสามไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน และให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราปีละ 8,000 บาท นับแต่ปี 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 จะออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามไปดำเนินการจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์รวมที่ดินโฉนดเลขที่ 91090 ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ให้โจทก์ได้ที่ดินพิพาทที่หมายด้วยเส้นสีน้ำเงิน เนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ 6 ตารางวา ตามแผนที่พิพาท หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยที่ 1 ใช่ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินปีละ 3,000 บาท นับแต่ปี 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 จะออกไปจากที่ดินพิพาท ให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นแก่โจทก์จำนวน 5,565 บาท และให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่จำเลยที่ 1 จำนวน 5,640 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เดิมที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 429 ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ มีชื่อนางแก้ว ยิ่งงาม เป็นผู้แจ้งการครอบครอง หลังจากนางแก้วถึงแก่ความตายแล้วเมื่อปี 2523 โจทก์ นางโฮล แซ่อุย และจำเลยที่ 1 นำแบบเจ้งการการครอบครองที่ดินไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2739 ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่ 33 ไร่ 2 งาน ต่อมาโจทก์ จำเลยที่ 1 และนางโฮล ขอรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวมโดยโจทก์ นางโฮ่ล และจำเลยที่ 1 เป็นผู้นำรังวัด โจทก์ได้ที่ดินที่อยู่ด้านทิศตะวันตกตามรูปแผนที่ แล้วโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินส่วนของตนเป็นสัดส่วนตลอดมา เมื่อปี 2537 ทางราชการได้ออกหลักฐานเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 91090 ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่ 33 ไร่ 2 งาน โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บรักษาโฉนดที่ดิน และเมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2540 จำเลยที่ 1 เข้าไปทำนาในที่ดินพิพาทบางส่วนเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 ประการแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์อ้างเพียงรูปแผนที่ท้ายคำฟ้องไม่สามารถชี้ชัดว่าส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 บุกรุกนั้นอยู่ที่ใด ทั้งรูปแผนที่กับสถานที่จริงไม่ถูกต้องตรงกันนั้น เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดแล้วว่าจำเลยที่ 1 บุกรุกเข้าไปแย่งทำนาในที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ตามแผนที่โดยประมาณท้ายฟ้องมีเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ ซึ่งแผนที่ท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องและได้ระบุบริเวณที่อ้างว่าจำเลยที่ 1 บุกรุกไว้อย่างชัดเจนพอให้จำเลยที่ 1 เข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้ฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้จึงไม่เคลือบคลุม มีปัญหาวินิจฉัยต่อไปว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมตามข้อตกลงในปี 2523 โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า 10 ปี คดีของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1363 วรรคสอง เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์ที่โจทก์มีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1363 ซึ่งการฟ้องเช่นนี้ไม่มีอายุความ ส่วนตามมาตรา 1363 วรรคสอง นั้น เป็นเรื่องผู้มีกรรมสิทธิ์รวมจะทำนิติกรรมห้ามแบ่งกรรมสิทธิ์รวมได้คราวละไม่เกินสิบปี มิใช่เป็นอายุความดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกา คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ มีปัญหาวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทเพียงใด จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า การรังวัดแบ่งแยกจะมีผลสมบูรณ์เมื่อมีการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วเท่านั้น และตามมาตรา 1357 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เจ้าของรวมมีส่วนเท่าๆ กันนั้น ในข้อนี้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยจำเลยที่ 1 ไม่ฎีกาโต้แย้งว่า โจทก์ นางโฮล และจำเลยที่ 1 ได้ตกลงรังวัดที่ดินเพื่อแบ่งกรรมสิทธิ์รวมได้ตามรูปแผนที่ โจทก์ได้ที่ดินส่วนที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเนื้อที่ 15 ไร่ 1 งาน 50 ตารางวา ซึ่งปรากฏว่าเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดจัดทำแผนที่พิพาทแล้ว ที่ดินส่วนที่โจทก์นำชี้มีเนื้อที่ 15 ไร่ 6 ตารางวา และโจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินที่ตกลงแบ่งกันอย่างเป็นสัดส่วนตลอดมา เห็นว่า ขณะที่โจทก์ นางโฮล และจำเลยที่ 1 ตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเมื่อปี 2523 ที่ดินที่โจทก์ นางโฮล และจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรวมเป็นที่ดินมือเปล่ายังไม่มีหลักฐานหนังสือสำคัญ การแบ่งแยกเจ้าของรวมจึงไม่อาจจดทะเบียนแบ่งแยกต่อเจ้าพนักงานที่ดินได้ เมื่อโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินส่วนของโจทก์เป็นสัดส่วนถือว่าโจทก์ยึดถือที่ดินส่วนที่เข้าครอบครองเพื่อตน โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 แม้ต่อมาทางราชการจะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) และโฉนดที่ดินมีชื่อโจทก์ จำเลยที่ 1 และนางโฮลถือกรรมสิทธิ์รวม โดยไม่ได้ระบุว่ามีส่วนคนละเท่าใด และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1357 ให้สันนิษฐานว่าผู้เป็นเจ้าของรวมกันมีส่วนเท่ากัน ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของกฎหมายในกรณีที่ไม่ปรากฏชัดว่าเจ้าของรวมแต่ละคนมีส่วนเท่าใด แต่ข้อเท็จจริงได้ความชัดแล้วว่า โจทก์ได้รับส่วนแบ่งกรรมสิทธิ์รวมตามข้อตกลงและเข้าครอบครองจนได้สิทธิครอบครองมาก่อนมีหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) และโฉนดที่ดิน โจทก์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ตามสัดส่วนที่ครอบครอง จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าเจ้าของรวมยังคงมีส่วนเท่ากันหาได้ไม่คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 1 อ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยไม่ได้แก้ไขในส่วนที่เกี่ยวข้องกับค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสามในศาลชั้นต้น ดังนั้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ได้พิพากษาว่านอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วยก็ตาม แต่เป็นที่เข้าใจได้ว่าหมายความรวมถึงส่วนที่มิได้พิพากษาแก้นั้นคงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เพื่อให้ได้ความชัดแจ้งศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข”
พิพากษายืน แต่ให้เพิ่มข้อความว่านอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ