คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3044/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์โดยมีคนร้ายอีกคนหนึ่งนั่งซ้อนท้ายไปเวียนรอบผู้เสียหาย 3-4 รอบก่อน แล้วอ้อมไปหยุดข้างหลังผู้เสียหาย ต่อจากนั้นคนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์จึงลงจากรถไปใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายได้แล้วกลับมาขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ให้จำเลยขับขี่หลบหนีไป เมื่อไม่ปรากฏชัดว่าที่จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์เวียนรอบผู้เสียหายนั้นเป็นการกระทำเพื่อวัตถุประสงค์ใด พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกคงฟังได้เพียงว่า เป็นการใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะไปและกลับจากการกระทำความผิดเท่านั้น ไม่เป็นการใช้รถจักรยานยนต์ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) จึงริบรถจักรยานยนต์นั้นไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกมีอาวุธปืนและใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะไปร่วมกันชิงทรัพย์นางสาวสุกิยะผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 339, 340 ตรี และริบรถจักรยานยนต์ของกลาง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลดโทษให้หนึ่งในสามแล้วคงจำคุก 10 ปีและริบรถจักรยานยนต์ของกลาง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์สอดคล้องต้องกันมีน้ำหนักเชื่อได้ว่า จำเลยเป็นคนร้ายกระทำความผิดรายนี้ด้วยผู้หนึ่ง พยานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยชอบแล้ว แต่ปรากฏว่า ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 17 ปี 9 เดือนเศษ ยังเป็นนักศึกษาและได้ให้การรับทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ศาลฎีกาเห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นลงหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 76 กับปรากฏว่า ศาลอุทธรณ์มิได้ระบุว่า จำเลยกระทำผิดวรรคใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 สมควรระบุเสียให้ถูกต้อง
ส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง โดยวินิจฉัยว่าเป็นทรัพย์สินซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้น เห็นว่า การที่จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์ของกลาง โดยมีคนร้ายอีกคนหนึ่งนั่งซ้อนท้ายไปเวียนรอบผู้เสียหาย3-4 รอบก่อนแล้วจึงอ้อมไปหยุดข้างหลังผู้เสียหาย ต่อจากนั้นคนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยจึงลงจากรถไปใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายได้ แล้วกลับมาขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ให้จำเลยขับขี่หลบหนีไปนั้น ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏชัดว่า ที่จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์เวียนรอบผู้เสียหายนั้นเป็นการกระทำเพื่อวัตถุประสงค์ใด พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกคงฟังได้เพียงว่า เป็นการใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะไปและกลับจากการกระทำความผิดเท่านั้น จำเลยกับพวกหาได้ใช้รถจักรยานยนต์ของกลางในการกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) ไม่ จึงริบรถจักรยานยนต์ของกลางไม่ได้”
พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา339 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำคุก 10 ปี คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกจำเลย 6 ปี 8 เดือน ไม่ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share