คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1940/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ไม่ได้บังคับให้ปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์ในตราสารในขณะทำสัญญา แม้มิได้ปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์แต่แรกในขณะทำสัญญา แต่เมื่อได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนและขีดฆ่าแล้วในขณะฟ้องจะโดยผู้อ้างเป็นผู้กระทำเองหรือผู้อ้างขอให้ศาลสั่งให้เจ้าหน้าที่สรรพากรจัดการให้ก็มีผลเช่นเดียวกัน ศาลจึงรับฟังสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันเป็นพยานหลักฐานได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์ไป จำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกัน ครั้นครบกำหนดจำเลยทั้งสองผิดนัด ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ หากจำเลยที่ 1ไม่ชำระก็ขอให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระแทน
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ หากไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ไม่อาจอ้างสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.1 เป็นพยานหลักฐานเพราะอากรแสตมป์ที่ติดในเอกสารดังกล่าวได้ติดก่อนฟ้องคดีนี้ โดยทนายความเป็นคนติดและขีดฆ่าเอง นั้น เห็นว่าประมวลรัษฎากรมาตรา 118 บัญญัติว่า “ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์จะใช้ต้นฉบับคู่ฉบับหรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้และขีดฆ่าแล้ว ฯลฯ” ตามบทบัญญัติดังกล่าวหาได้บังคับให้ปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์ในขณะทำสัญญาไม่ ดังนี้แม้มิได้ปิดและขีดฆ่าอากรแสตมป์แต่แรกในขณะทำสัญญา แต่เมื่อได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนและขีดฆ่าแล้วในขณะฟ้องคดีนี้จะโดยผู้อ้างเป็นผู้กระทำเองหรือผู้อ้างขอให้ศาลสั่งให้เจ้าหน้าที่สรรพากรจัดการให้ก็มีผลเช่นเดียวกัน ศาลจึงรับฟังสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share