คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4948/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์นำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรจำเลยประเมินให้โจทก์เสียภาษีโดยแยกรายการที่สำแดงภาษีอากร มียอด เงินสำหรับอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลย่อมถือได้ว่า มีการประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล หากโจทก์เห็นว่า ไม่ถูกต้องอย่างไร ชอบที่จะอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากรก่อนการที่โจทก์อุทธรณ์ต่อผู้อำนวยการกองวิเคราะห์ราคากรมศุลกากรจึงมิใช่เป็นการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง แม้โจทก์จะเคยนำเข้าวิทยุตามตัวราคาชุด ละ 195เหรียญสหรัฐอเมริกา แต่ภายหลังผู้ผลิตลดราคาให้เหลือชุด ละ 164เหรียญสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นราคาปกติที่ขายให้แก่ลูกค้าทั่วไปมิใช่ลดหย่อนราคาให้แก่โจทก์เพียงรายเดียว ย่อมแสดงว่าสินค้าประเภทและชนิดเดียวกัน ณ เวลาที่นำเข้าต่างกันราคาย่อมลดลงได้จึงถือได้ว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาดลดลงกว่าที่โจทก์เคยสั่งซื้อเข้ามาในครั้งก่อน ๆ จำเลยจะถือเอาราคาที่โจทก์เคยนำเข้าครั้งก่อน ๆชุด ละ 195 เหรียญสหรัฐอเมริกา เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเพื่อเรียกเก็บภาษี หาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำเข้าสินค้าวิทยุตามตัวในราคาชุดละ 164เหรียญสหรัฐอเมริกา แต่จำเลยคำนวณอากรโดยถือตามราคาที่โจทก์นำเข้าครั้งก่อน ๆ ชุดละ 195 เหรียญสหรัฐอเมริกาเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดจึงมิชอบ โจทก์ได้อุทธรณ์ต่อกองวิเคราะห์ราคากรมศุลกากรจำเลย ต่อมากรมศุลกากรยกอุทธรณ์ของโจทก์สินค้าเครื่องวิทยุตามตัวที่โจทก์สั่งซื้อจากประเทศผู้ผลิตโดยตรง ระดับราคาสินค้าที่โจทก์ซื้อเข้ามาเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด เพราะในช่วงที่ซื้อขายกันนั้นโรงงานผู้ผลิตได้ผลิตเป็นจำนวนมากและขายแก่โจทก์เป็นระยะเวลาต่อเนื่องกัน ปริมาณสินค้าที่โจทก์ซื้อแต่แรกและต่อมามีจำนวนสูงเพิ่มขึ้นราคาจึงลดลง ขดให้เพิกถอนการประเมินกับให้จำเลยคืนเงิน 841,374.00 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
จเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม การกำหนดราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของเจ้าพนักงานจำเลย ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของจำเลย ส่วนการประเมินเกี่ยวกับภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม ถึง 25 กันยายน 2530 โจทก์ได้นำวิทยุตามตัวพร้อมอุปกรณ์ครบชุด ยี่ห้อโมโตโรล่า จากประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยสำแดงราคาชุดละ164 เหรียญสหรัฐอเมริกา ตามเอกสารหมาย จ.1 – จ.12 สินค้าดังกล่าวมีแต่โจทก์ผู้เดียวเป็นผู้นำเข้าและก่อนที่จะพิพาทกัน โจทก์ได้นำเข้ามาแล้ว 8 ครั้ง โดยครั้งหลังสุดนำเข้าเมื่อวันที่ 17 เมษายน2530 โจทก์สำแดงราคาชุดละ 164 เหรียญสหรัฐอเมริกา พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลย ได้ตรวจสอบแล้วไม่พอใจราคาสินค้าที่โจทก์สำแดงจึงให้โจทก์เพิ่มราคา เป็นราคาชุดละ 195 เหรียญสหรัฐอเมริกาและเรียกเก็บภาษีอากรขาเข้าเพิ่ม 250,156 บาท ภาษีการค้าเพิ่ม537,475 บาท ภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่ม 53,743 บาท รวมเป็นภาษีอากรเพิ่ม 841,374 บาท โจทก์ยอมเสียภาษีอากรเพิ่ม และรับสินค้าไปจากกรมศุลกากร แต่โต้แย้งการเรียกเก็บภาษีอากรเพิ่ม ทั้งได้อุทธรณ์การประเมินราคาสินค้าต่อผู้อำนวยการกองวิเคราะห์ราคากรมศุลกากร ตามเอกสารหมาย ล.22-ล.25 ผู้อำนวยการกองวิเคราะห์ราคาแจ้งให้โจทก์ทราบว่าการประเมินชอบแล้ว ให้ยืนตามราคาเดิม
พิเคราะห์แล้วเบื้องแรกจะใด้วินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์ก่อนเกี่ยวกับอำนาจฟ้องเรื่องภาษีการค้าและบำรุงเทศบาล โดยโจทก์อุทธรณ์ว่าสินค้าของโจทก์รายนี้พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ประเมินตามกฎหมายศุลกากร มิใช่เป็นการประเมินตามประมวลรัษฎากร โจทก์ไม่จำต้องอุทธรณืตามประมวลรัษฎากรเพียงแต่โจทก์ได้อุทธรณ์ต่อกรมศุลกากร โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องนั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์นำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ประเมินอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล และในรายการที่สำแดงภาษีอากรมียอดเงินสำหรับอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลแยกกันแต่ละรายการ กรณีเช่นนี้ย่อมถือได้ว่ามีการประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล โดยเจ้าพนักงานประเมินตามประมวลรัษฎากรมาตรา 87 (2) แล้ว หากโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้องอย่างไร ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรเสียก่อน การที่โจทก์อุทธรณ์ต่อผู้อำนวยการกองวิเคราะห์ราคา กรมศุลกากร และในอุทธรณ์ตามเอกสารหมาย ล.22 – ล.25 ขอให้พิจารณารับราคาสินค้าตามที่โจทก์นำเข้า จึงมิใช่เป็นการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาล ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า การประเมินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ในประเด็นดังกล่าวทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าสินค้าวิทยุตามตัวที่โจทก์นำเข้าทั้ง 12 ครั้ง ราคาชุดละ 164เหรียญสหรัฐอเมริกา ก่อนนี้โจทก์เคยนำเข้าราคาชุดละ 195เหรียญสหรัฐอเมริกา ภายหลังบริษัทแปวิฟิค เทเลซีส อินเตอร์เนชั่นแนลซึ่งเป็นผู้ขายอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ติดต่อซื้อเป็นจำนวนมากทางผู้ผลิตจึงได้ตกลงขายให้ในราคาชัดละ 164 เหรียญสหรัฐอเมริกาตามเอกสารหมาย จ.23 ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดจึงเป็นชุดละ164 เหรียญสหรัฐอเมริกา จำเลยนำสืบว่า โจทก์เคยนำเข้าสินค้าดังกล่าวและเสียภาษีอากรในราคาชุดละ 195 เหรียญสหรัฐอเมริกา แต่ครั้งนี้โจทก์สำแดงราคาเพียง 164 เหรียญสหรัฐอเมริกา การนำเข้าครั้งนี้ห่างจากการนำเข้าครั้งก่อนไม่เกิน 6 เดือน และราคาสินค้าเครื่องไฟฟ้าในระยะนั้นมิได้ลดราคาอย่างรวดเร็ว ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดจึงเป็นชุดละ 195 เหรียญสหรัฐอเมริกาการที่จะพิจารณาวง่าการประเมินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ต้องพิจารณาว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าที่พิพาทเป็นจำนวนเท่าใด โจทก์ถือตามราคาที่ซื้อมาชุดละ 164 เหรียญสหรัฐอเมริกา จำเลยโต้แย้งว่าโจทก์เคยซื้อในราคาชุดละ 195 เหรียญสหรัฐอเมริกา ในครั้งนี้โจทก์นำเข้าห่างจากครั้งก่อนไม่ถึงเดือน และราคาสินค้ามิได้ลดลงอย่างรวดเร็ว ตามข้อกล่าวอ้างของฝ่ายโจทก์ มีนายสุธี ศุภวัฒนกุลและร้อยตรีแปลง คำเมือง เบิกความประกอบเอกสารหมาย จ.23 ว่าทางบริษัทผู้ขายได้ขายราคาสินค้าต่ำลง เพราะผู้ขายซื้อจากผู้ผลิตได้ในราคาต่ำลง ทั้งให้ลูกค้าสามารถแข่งขันกับราคาของผู้อิ่นได้บริษัทแปวิฟิค เทเเลซิล อินเตอร์เนชั่นแนล มีสาขาอยู่ทั่วโลกและเป็นผู้ได้รับสิทธิในการจำหน่ายเกี่ยวกับวิทยุตามตัวจากผู้ผลิตแต่ผู้เดียว จึงเห็นว่าในการซื้อขายรายนี้ โจทก์ซื้อมาในราคาชุดละ164 เหรียญสหรัฐอเมริกา บริษัทผู้ขายได้ขายสินค้าต่ำกว่าราคาที่เคยขายเดิม แต่เป็นการขายสินค้าในราคาปกติทั่วไปของบริษัทผู้ขายมิใช่ลดหย่อนราคาให้แก่โจทก์เพียงรายเดียว ซึ่งอาจทำให้เห็นว่าเป็นราคาซื้อขายเฉพาะโจทก์ มิใช่เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเมื่อเป็นราคาที่บริษัทแปซิฟิค เทเลซิส อินเตอร์เนชั่นแนล ขายให้ลูกค้าทั่วไปที่สั่งซื้อ เพื่อจะให้ลูกค้าสามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ ถึงแม้จะเป็นระยะเวลาในช่วงไม่เกิน 1 เดือนนับแต่การนำเข้าในครั้งก่อน ราคาของประเภทและชนิดเดียวกันก็มีราคาลดลงได้ ฝ่ายจำเลยมิได้สืบให้เห็นว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเป็นราคาเท่าใดคงเพียงแต่อาศัยราคาที่โจทก์เคยนำเข้าในครั้งก่อน และเป็นเวลาห่างจากที่นำเข้าในคดีนี้ไม่เกิน 6 เดือน จึงถือราคาที่โจทก์นำเข้าครั้งก่อนเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดแล้วนำมาถือเป็นราคาในการประเมินเรียกเก็บภาษีอากรโจทก์เท่านั้น ส่วนราคาของโจทก์ที่สำแดงต่อจำเลย แม้จะเป็นราคาที่ซื้อมาจากผู้ขาย แต่เมื่อนำเข้ามาในราชอาณาจักร และในขณะนั้นจำเลยไม่มีราคาสินค้าประเภทและชนิดเดียวกันพอจะเทียบเคียง เมื่อโจทก์นำสืบว่าเป็นราคาที่ผู้ขายขายให้ลูกค้าที่สั่งซื้อโดยทั่วไป ย่อมมีเหตุผลที่แสดงว่าสินค้าประเภทและชนิดเดียวกัน ณ เวลาที่นำเข้าต่างกนราคาย่อมลดลงได้ นอกจากนี้ยังปรากฏว่า โจทก์ได้นำสินค้าชนิดเดียวกันเข้ามาในราชอาณาจักรตามใบขนสินค้าเอกสารหมาย จ.24, จ.25 และ จ.26 โดยนำสินค้าเข้ามาเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 5 พฤศจิกายน และ 16 พฤศจิกายน 2530ตามลำดับ อันเป็นเวลาภายหลังกรณีพิพาทนี้ แต่ผู้อำนวยการกองวิเคราะห์ราคา กรมศุลกากรจำเลยได้พิจารณายอมรับราคาชุดละ164 เหรียญสหรัฐอเมริกา ตามที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าดังกล่าวดังปรากฏตามหนังสือแจ้งผลอุทธรณ์การประเมินอากรเอกสารหมาย จ.27ยิ่งสนับสนุนให้เห็นว่า จำเลยได้ยอมรับว่าสินค้าของโจทก์ที่นำเข้ามามีราคาอันแท้จริงในท้องตลาดลดลง จึงถือได้ว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาดลดลงกว่าที่โจทก์เคยสั่งสินค้าเข้ามาในครั้งก่อน พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าพิพาทชุดละ 164 เหรียญสหรัฐอเมริกาศาลภาษีอากรกลางพิพากษาเพิกถอนการประเมินของจำเลยตามฟ้องเกี่ยวกับอากรขาเข้า ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้นแต่ที่พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของยอดเงินที่ต้องชำระคืนแก่โจทก์ นับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระเงินแก่จำเลยตามใบขนสินค้าขาเข้าแต่ละฉบับเป็นต้นไป โดยมิได้ระบุว่า ให้ชำระจนถึงเมื่อใด และมิได้มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ในปัญหานี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยให้จำเลยชำระดอกเบี้ยเช่นว่านั้น จนกว่าจะชำระเงินที่ต้องคืนให้แก่โจทก์เสร็จ”
พิพากษายืน.

Share